อุดรธานี – แรงงานไทย ‘วีดีโอคอล’ เล่านาทีสู้กับกองกำลังฮามาสด้วยมือเปล่า รอดจากถูกปาดคอแต่เจ็บสาหัส

จากกรณีเช้ามืดวันที่ 7 ตุลาคม กองกำลังติดอาวุธฮามาส บุกโจมตีอิสราเอล ทั้งบนอากาศและภาคพื้นดิน มีกองกำลับติดอาวุธบุกเข้ามาสังหารในฉวนกาซา ทำให้มีพลเมืองผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตนับพันราย รวมทั้งแรงงานไทยที่ไปขุดทองในอิสราเอล ทั้งได้รับบาดเจ็บ เสียชีวิต ถูกจับเป็นตัวประกัน และหายสาบสูญ ซึ่งเป็นแรงงานชาวอุดรธานีเสียชีวิต 7 ราย แต่มีข่าวดีว่าทหารอิสราเอลเข้ายึดพื้นที่คืน ช่วยผู้บาดเจ็บและตัวประกัน ซึ่งจะและแรงงานลอตแรกบินกลับถึงประเทศไทยแล้ว 15 คน

เมื่อเวลา 12.00 น.วันที่ 12 ตุลาคม ที่บ้านเลขที่ 169 หมู่ 2 บ้านสระคุ ต.หนองหัวคู อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี ซึ่งเป็นบ้านของนายวิทวัส กุลวงศ์ หรือแจ็ค อายุ 34 ปี แรงงานไทยในอิสราเอล ซึ่งรอดชีวิตจากการถูกปาดคอ แต่ได้รับบาดเจ็บสาหัส และครอบครัวติดต่อได้แล้ว ซึ่งได้พบกับ น.ส.วาสนา พิมพ์สุวรรณ อายุ 27 ปี และด.ญ.กัลยรัตน์ กุลวงศ์ อายุ 5 ขวบ ภรรยาและลูกสาวนายวิทวัส นั่งอยู่หน้าบ้าน โดยมีญาติและเพื่อนบ้านมาถามไถ่เรื่องราวและแสดงความยินดี โดยมีนายวิทวัส หรือแจ็ค วีดีโอคอลมาพูดคุย

นายวิทวัส ได้เล่าให้ฟังว่า ขณะกำลังเดินอยู่ในฟาร์ม เพื่อตรวจดูว่ามีไก่งวงตายหรือไม่ ก็มีการยิงเข้ามา และมีกองกำลังติดอาวุธเข้ามาในฟาร์ม จึงเข้าไปหลบซ่อนตัว 2-3 ชม. เมื่อกองกำลังออกไปแล้ว จึงได้ออกมาจากที่ซ่อน เข้ามาในฟาร์ม ได้มีกองกำลังเข้ามาอีก และมาพบตน ซึ่งกองกำลังได้ใช้มีดพยายามฆ่าปาดคอตน แต่ตนได้ยึดสู้กันประมาณ 1 ชม. ตนถูกแทงคอ หลัง และหน้าผาก เลือดไหลออกมาก จนตนหมดสติ เขาคงคิดว่าตนตายแล้ว จึงเอาโทรศัพท์ตนไปด้วย ประมาณ 1 ชั่วโมงตนฟื้นขึ้นมา จึงเดินกลับไปที่แคมป์คนงาน เพื่อนคนงาน นายจ้างแจ้งทหารอิสราเอลนำตนส่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล 3 วัน ออกจาก รพ.จึงติดต่อกลับมาหาภรรยาและลูก ซึ่งถือว่าตนโชคดีที่รอดชีวิตไม่อยากอยู่แล้ว อยากจะกลับบ้านและไม่ขอกลับมาที่อิสราเอลอีก

ส่วน น.ส.วาสนา กล่าวว่า ได้แต่งงานอยู่กินกับนายวิทวัส มีลูกด้วยกัน 1 คน นายวิทวัส เดินทางไปทำงานเกษตร ที่ฉนวนกาซา ประเทศอิสราเอล สัญญา 5 ปี 3 เดือน ทำงานได้ 4 ปี ไม่กลับมาพัก ได้เงินเดือน 4-5 หมื่นบาท โดยยืมเงินจากนายทุนนอกระบบ 1 แสนบาท โดยจัดหางานเป็นคนส่งไปถูกต้องตามกฎหมาย โดย 2 ปีแรกทำงานในสวนมะเขือเทศ 2 ปีหลังทำงานในฟาร์มไก่งวง จะส่งเงินกลับมาให้ตนซื้อรถปิกอัพ 1 คัน และซื้ออุปกรณ์เตรียมสร้างบ้านไว้แล้ว

ก่อนเกิดเหตุเป็นวันเสาร์ที่ 7 ตุลาคม ซึ่งจะเป็นวันหยุดของสามี แต่สามีจะขับรถไถออกจากแคมป์ที่พัก ไปที่ฟาร์มไก่ เพื่อเก็บไก่ที่ตายออกมา ขณะเดินอยู่ในฟาร์มไก่ และไลฟ์สดในเฟซบุกให้ตนดูด้วย ต่อมาฝั่งปาเลสไตน์ก็มีการยิงข้ามมา ซึ่งสามีก็บอกว่ามีการยิงกันแล้ว แต่ครั้งนี้ยิงหนักมาก แถมมีกองกำลังติดอาวุธเข้ามาในฟาร์มด้วย ซึ่งสามีก็ไปหลบซ่อนตัว 2-3 ชม.และห้ามตนโทรไปหา เพราะเกรงว่ากลุ่มฮามาสจะได้ยิน ตนก็ไม่โทร แต่พอได้ดูคลิปยิงแรงงานไทยตายในแคมป์ ก็ยิ่งห่วงสามีมากขึ้น แต่ไม่สามารถติดต่อได้ ตนก็พยายามทักแชทกับเพื่อนร่วมงานสามี เย็นวันเดียวกันก็ทักแชทเพื่อนร่วมงานได้ เพื่อนบอกว่าสามีตนอยู่ในห้อง บาดเจ็บเล็กน้อย นายจ้างติดต่อทหารอิสราเอลมารับไปส่งโรงพยาบาลแล้ว

น.ส.วาสนา กล่าวต่อไปอีกว่า หลังทราบว่าสามีได้รับบาดเจ็บ รักษาตัวอยู่โรงพยาบาลแล้ว ตนก็รู้สึกดีใจ แต่ไม่สามารถติดต่อกับสามีได้ ก็ได้แชทสอบถามอาการกับเพื่อนคนงาน ส่วนตนและครอบครัวก็ไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกที่เพื่อให้สามีปลอดภัย สามีออกจากที่โรงพยาบาลวันที่ 11 ตุลาคม ลูกชายนายจ้างได้ให้ใช้โทรศัพท์วีดีโอคอลมาหาตน และได้พูดคุยกัน ก็รู้สึกดีใจ แต่พอเพื่อสามีส่งภาพตอนสามีโดนแทงได้รับบาดเจ็บมาให้ดู ตนถึงกับร้องไห้ มันน่ากลัวมาก สามีรอดชีวิตมาได้อย่างไร สามีกลับมาบ้านแล้ว ก็จะไม่ให้กลับไปอีก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *