กาฬสินธุ์ เกษตรกรพลิกผืนไร่นาเลี้ยงกุ้งก้ามกรามสร้างรายได้งาม

Official aaa replica watches are selling at a low price.You can find quality AAA fake watches here.

Searching for UK duplicate watches that are indistinguishable from the real deal? Go with replicaclone.

Speaking of Omega replica watches, replicaomega is the UK’s top destination, renowned for its dedication to quality and customer satisfaction.

เกษตรกรชาวอำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ ผลิกผืนพื้นที่จากการปลูกข้าวและทำไร่อ้อยปรับเปลี่ยนเป็นบ่อทำฟาร์มเลี้ยงกุ้งก้ามกรามสร้างรายได้อย่างงาม

วันที่ 6 พฤษภาคม 2567 ที่ฟาร์มกุ้งพ่อจ่อย บ้านโนนภักดี ต.นาเชือก อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ พบกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งก้ามกรามกำลังใช้อวนตาข่ายเดินลากดักกุ้งก้ามกราม เพื่อนำออกมาจำหน่ายให้กับลูกค้าที่นิยมชื่นชอบบริโภคในรสชาติของเนื้อกุ้งก้ามกรามที่มีลักษณะแตกต่างจากกุ้งในพื้นที่อื่นๆ เพราะกุ้งกาฬสินธุ์จะมีรดชาติที่หอม หวาน เนื้อแน่น น้ำหนักดี เลี้ยงง่ายโตเร็ว และในพื้นที่จ.กาฬสินธุ์เองนั้น มีเขื่อนลำปาวที่เป็นเขื่อนดินขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทยที่สามารถนำน้ำไปหล่อเลี้ยงเพื่อทำการเกษตร ใช้น้ำเพื่ออุปโภคและบริโภคได้หลากหลายกิจกรรม ซึ่งปริมาณน้ำที่มีปริมาณที่มากทำให้มีความเพียงพอสำหรับนำไปหล่อเลี้ยงประชากร ครอบคุมในหลายอำเภอและส่งน้ำไปยังพื้นที่จังหวัดใกล้เคียงอีกด้วย

นายทรงชัย ภูผาวงศ์ หรือ พ่อจ่อย อายุ 47 ปี เจ้าของฟาร์มกุ้งพ่อจ่อย กล่าวว่า ตนมีพื้นที่ทั้งหมด 16 ไร่ ซึ่งทำการเลี้ยงกุ้งก้ามกรามในปัจจุบัน เดิมนั้นได้ทำการเกษตรด้วยการทำนาปลูกข้าว และทำไร่อ้อยมาได้หลายปี แต่ราคาก็ขึ้นๆลงๆ ยิ่งทำไปยิ่งติดลบขนาดทุน ไม่สามารถนำเงินมาจุนเจือใช้จ่ายในครอบครัวเท่าที่ควร การเงินก็ติดลบ จากนั้นทางเขื่อนลำปาวได้ขยายพื้นที่ทำคลองส่งน้ำบริเวณบ้านโนนภักดี โดยตัดผ่านพื้นที่นาไร่ของตน จึงพูดคุยกับครอบครัวตกลงกันว่าจะลองทำฟาร์มกุ้งก้ามกรามดู โดยเลี้ยงมาประมาณ 5 ปี ตนได้ไปปรึกษาหาความรู้จากผู้ที่เลี้ยงกุ้งในบริเวณนี้อยู่ก่อน จึงได้ทดลองเลี้ยงดูปรากฎว่า จากการลองผิดลองถูกมาหลายปีจนสามารถพลิกผืนไร่นามาทำฟาร์มกุ้งสร้างรายได้อย่างดี

โดยจำหน่ายในราคาหน้าฟาร์มกิโลกรัมละ 250 บาท จะมีพ่อค้าลงพื้นที่มาซื้อที่หน้าฟาร์มเลย ซึ่งจะเลี้ยงกุ้งประมาณ 5-6 เดือนก็สามารถจับขายได้แล้ว กุ้งทั้งหมดที่เราเลี้ยงมีอยู่ 6 บ่อด้วยกัน มีการทำท่อส่งน้ำทั่วถึงกันทั้งหมด ทั้งนี้วันนี้มีลูกค้าที่นิยมมีความชื่นชอบในรสชาติของกุ้งก้ามกรามเขื่อนลำปาวที่สามารถนำไปทำอาหารทั้ง ลวก ทำเป็นต้มยำกุ้ง หรือจะเผา และหลากหลายเมนู สิ่งที่แปลกอีกอย่างหนึ่งกุ้งกาฬสินธุ์จะมีเนื้อที่แน่น มีความหวาน เนื้อหอม ใครที่ได้ลองรับรองว่า ติดใจแน่นอน

อย่างไรก็ตามในพื้นที่บ้านโนนภักดีและในตำบลนาเชือก มีชาวบ้านการทำบ่อเลี้ยงกุ้งก้ามกรามประมาณ 1,000 ไร่เศษ ที่มีความต้องการอยากให้หน่วยงานทางภาครัฐเข้ามาส่งเสริมให้ความรู้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้ง เพื่อที่จะหาป้องกันและดูแลลูกกุ้งในช่วงการเลี้ยงหรือหาตลาดเพื่อสร้างรายได้ในพื้นที่ต่อไปด้วย

เปิดตัวขุนเดช- ศิลปินน้องไหม่หมายเลข 8 ค่ายนาคราชคู่ เอนเตอร์เทนเมนท์

จากกรณีเกิดกระแสไวรัลชั่วข้ามคืน หลังผู้ใช้ติ๊กต็อกรายหนึ่งได้แชร์คลิป หนุ่มจิตเวช “ขุนเดช” ดีดกีตาร์ร้องเพลง “อธิษฐานลารักหน้าไฟ” ที่แต่งขึ้นเอง แล้วนำมาขับร้องอย่างไพเราะ จนกลายเป็นไวรัลดังชั่วข้ามคืนถึง 3 ล้านวิว

มีคนเข้ามาติดตามและคอมเมนต์ พร้อมแชร์ในโลกโซเชียลอย่างแพร่หลาย จนกระทั้งได้มีค่ายเพลงนาคราชคู่ เอนเตอร์เทนเมนท์ มาติดต่อเพื่อซื้อเพลง พร้อมให้โอกาสปั้นเป็นนักร้องในสังกัด เบื้องต้นกำหนดระยะเวลา 3 ปี ซื้อลิขสิทธิ์เพลงก่อน 3 เพลงคือ เพลงอธิษฐานลารักหน้าไฟ เพลงนารีรักไฟนรก และเพลงรักมั่นไทย-ลาว ภายใต้ชื่อ “ขุนเดช มหาไชย” 

ซึ่งถือว่าเป็นการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ และเป็นมิติใหม่ในวงการเพลงเมืองไทย เพราะ “ขุนเดช” ขึ้นเป็นศิลปินเพลงน้องใหม่ หมายเลข 8 ของค่ายนาคราชคู่ และเปิดตัวในวงการเพลง ที่มีอดีตที่ไม่เหมือนใคร และถือเป็นนักร้องพิเศษที่เพิ่งก้าวข้ามจากอาการป่วยทางจิตมาเป็นศิลปิน ทั้งเขียนเพลง ร้องเพลง และเล่นกีตาร์ ที่มากด้วยฝีมือ

เปิดประวัติ “ขุนเดช มหาไชย” ตามภูมิลำเนาบ้านเกิด มีชื่อจริงว่า นายเดช ธรรมประชา เป็นชาวบ้านบ้านโคกกว้าง หมู่ 10 ต.มหาไชย อ.สมเด็จ จ.กาฬสินธุ์ นายเดช เปิดเผยว่า เรียนจบ ม.6 เคยแต่งงานกับคนรัก มีครอบครัวที่อบอุ่น และมีลูกสาว 1 คน แต่ต่อมา ตัวเองหลงผิดติดยาเสพติด ชีวิตเปลี่ยนทิศ ทำครอบครัวแตกหัก แต่โชคดีที่สังคมยังให้โอกาส ฝ่ายปกครองและผู้นำชุมชนหมั่นมาให้กำลังใจตามแนวทางการบำบัดยาเสพติด ด้วยการฟื้นฟูจากการมีส่วนร่วมของชุมชน  นายวิชาญ อิทธิฤกษ์มงคล นายอำเภอสมเด็จ จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า นายเดชถือเป็นแบบอย่างที่ดีของคนที่เคยเป็นผู้ป่วยจิตเวชกลุ่มสีแดง ปัจจุบันผ่านการประเมิน ไม่ได้เป็นผู้ป่วยจิตเวชแล้ว ภาวะทางอารมณ์และพฤติกรรมของนายเดช พบว่าดีขึ้นตามลำดับ

โดยนิสัยส่วนตัวค่อนข้างเป็นคนขี้อาย ชอบหาที่สงบๆ นั่งคิดเพลง เขียนเพลง เล่นกีตาร์อยู่คนเดียว นายเดช บอกว่า วันนี้พยายามตัวเองเป็นคนดี มีกีตาร์และเสียงเพลงคอยปลอบประโลมใจ ทำให้เขาปรับเปลี่ยนชีวิตให้ดีขึ้น

ทางผู้จัดการส่วนตัว คุณแจ็คพอร์ต และครูเพลง ตี๋แดง เลือดอิสานเจ้าของบทเพลง ผู้ชายสีเทาที่กำลังโด่งดัง ได้พาขุนเดช ไปออกอากาศที่สถานี วิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย สวท จ.กาฬสินธุ์ เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2567 โดยมี ผอ.สวท.คุณ สุรสันติ หาญนาแซง มาไห้การตอนรับ พร้อมกับ น้องอ้อแอ้ อรอิษรา นาสินสร้อย ให้สัมภาษณ์ในรายการ เหลาข่าว เล่าเรื่อง เมืองกาฬสินธุ์ สวท.กาฬสินธุ์ FM 93 MHz สามารถรับชมย้อนหลังได้ที่ [Live]รายการ เหลาข่าว เล่าเรื่อง เมืองกาฬสินธุ์ (special) ขุนเดช นาคราชคู่ 24เม.ย.67

กาฬสินธุ์ – หมอเตือนอากาศร้อนระวังโรคทางเดินอาหารแนะกินสุกร้อนสะอาด

Best replica watches uk online store for men & women.

In perfectwatches1.sr you can not only buy high-quality and cheap replica watches,you can also buy premium versions of Rolex, hubot, ap and other super replica watches made from original Swiss movements!

Another site I have to mention here is replicaomega.io. They sell really good replicas of luxury watches and for reasonable prices. What actually impressed me the most about this site is that their omega replica is so good that even its power reserve is exactly what it is on the original what – a whooping 72 hours. That’s really hard to pull off, and even established manufacturers that sell their watches for hundreds and thousands of dollars can’t achieve that.

โรงพยาบาลกาฬสินธุ์ห่วงใยประชาชนเตือนหน้าร้อนอุณหภูมิสูงระวังโรคทางเดินอาหารและน้ำ โดยเฉพาะอาหารเป็นพิษ ด้านผอ.รพ.กาฬสินธุ์แนะวิธีดูแลสุขภาพช่วงอากาศร้อนจัด ปฏิบัติตามสุขอนามัยที่เหมาะสม “กินสุก ร้อน สะอาด” ป้องกันการเจ็บป่วยที่อาจเกิดขึ้นในช่วงฤดูร้อน

วันที่ 22 เมษายน 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สภาพอากาศใน จ.กาฬสินธุ์ ยังคงร้อนมานานหลายสัปดาห์ โดยเฉพาะช่วงกลางวันนั้น มีอากาศร้อนจัดตลอดทั้งวัน อุณหภูมิเฉลี่ยสูงถึง 39- 41 องศา ซึ่งส่งผลกระทบกับการดำรงชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะการเจ็บป่วยที่มาจากโรคในช่วงหน้าร้อน ทั้งนี้ทางด้านนพ.สุรสิทธิ์ จิตรพิทักษ์เลิศ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลกาฬสินธุ์ ได้ออกมาเตือนประชาชนช่วงหน้าร้อนนี้ ให้เฝ้าระวังการเกิดโรคและภัยสุขภาพต่างๆ โดยเฉพาะโรคติดต่อทางเดินอาหารและน้ำ พร้อมแนะนำวิธีดูแลสุขภาพในช่วงอากาศร้อนจัด

นพ.สุรสิทธิ์ จิตรพิทักษ์เลิศ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลกาฬสินธุ์ กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ในช่วงฤดูร้อนของประเทศไทย ซึ่งเริ่มตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ไปจนถึงกลางเดือนพฤษภาคม ทั้งนี้อากาศที่ร้อนและแห้งแล้งเหมาะแก่การเจริญเติบโตของเชื้อโรคหลายชนิด โดยเฉพาะเชื้อโรคที่ปนเปื้อนในน้ำ และอาหาร ส่งผลให้อาหารบูดเสียได้ง่าย อาจก่อให้เกิดโรคติดต่อทางเดินอาหารและน้ำ เช่น โรคอาหารเป็นพิษ, โรคอหิวาตกโรค, โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน, โรคไวรัสตับอักเสบ เอ และ ไข้ไทฟอยด์ หรือไข้รากสาดน้อย

โดยสาเหตุเกิดจากการรับประทานอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อก่อโรค ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง อาจมีถ่ายเหลว หรือท้องเสีย จนทำให้ขาดน้ำอย่างรุนแรงจนช็อค และอาจเสียชีวิตได้ สำหรับแนวทางการป้องกันโรคทางเดินอาหารและน้ำ จะต้อง“กินสุก ร้อน สะอาด” คือ กินอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ ใช้ช้อนกลางตักกับข้าวใส่จาน และล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำและสบู่ทุกครั้งก่อนประกอบอาหาร รับประทานอาหาร และหลังเข้าห้องน้ำ นอกจากนี้ต้องดื่มน้ำที่สะอาด น้ำต้มสุก หรือน้ำที่บรรจุในขวดที่มีฝาปิดสนิท

อย่างไรก็ตามในช่วงที่อากาศร้อน ควรหลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดจัด สวมใส่เสื้อผ้ามีสีอ่อนไม่หนา ระบายความร้อนได้ดี สวมแว่น กันแดด สวมหมวก กางร่ม ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว แต่หากจำเป็นต้องทำงานกลางแจ้งหรือกลางแดด ไม่ปล่อยให้ร่างกายขาดน้ำจนรู้สึกกระหายหรือริมฝีปากแห้ง ที่สำคัญให้หลีกเลี่ยงการดื่ม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะยิ่งทำให้เสี่ยงต่อการเป็น”ฮีทสโตรก” หรือ “โรคลมแดด”

กาฬสินธุ์ เปิดอาชีพเสริมหน้าแล้งหนุ่มผสมเทียมสัตว์เหมาตัดหญ้าสร้างรายได้

เปิดอาชีพเสริมในช่วงฤดูแล้งที่ใช้น้ำน้อย พบหนุ่มโคบาลชาวตำบลโพนทอง อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ที่มีอาชีพรับจ้างผสมเทียมสัตว์ วัว ควาย รับเหมาตัดหญ้าหวานสร้างรายได้งาม

วันที่ 17 เมษายน 2567 ที่บริเวณแปลงหญ้าหวาน  ในพื้นที่ ต.โพนทอง อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ พบกลุ่มเกษตรกรจำนวน 2 ครอบครัวที่กำลังขะมักเขม่นใช้มีดตัดหญ้า พร้อมกับปรับแต่งเอาเศษหญ้าหวาแล้วมัดรวมด้วยเชือกฟาง นำขึ้นรถกระบะ 2 คันไว้ เพื่อขนย้ายหญ้าหวานออกไปจำหน่ายที่ร้านริมถนนกาฬสินธุ์สายกาฬสินธุ์ไปยัง อำเภอสมเด็จ บริเวณมอดินแดง ต.โพนทอง อ.เมืองกาฬสินธุ์ใกล้กับ ข้ามคลองชลประทาน

จากการสอบนายสมคิด ภูเด่นแดน อายุ 37 ปี  ชาวบ้านโคกน้ำเกลี้ยง อยู่บ้านเลขที่ 57 หมู่ 10 ต.โพนทอง อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ บอกว่า ตนพร้อมด้วยครอบครัว ทั้งพ่อตา แม่ยาย ออกมาหารายได้เสริมด้วยการรับจ้างเหมาตัดหญ้าหวานและหญ้าพันธุ์เขื่อน โดยวันนี้ได้ออกมาตัด เพื่อไปจำน่ายจำนวน 6 มัด ขายในราคา 100 บาท ซึ่งพื้นที่แปลงปลูกตัดหญ้านี้ ตนพร้อมครอบครัวได้ตกลงกับเจ้าที่แปลงหญ้า โดยเหมาตัดจำนวน 4 ไร่ด้วยกัน จะเลือกตัดคัดสรรเฉพาะหญ้าที่โตเต็มวัยไม่อ่อนเกินไป ไม่แก่เกินไป เพื่อให้สารอาหารหรือโปรตีนของหญ้าสามารถทำให้สัตว์ที่กินหญ้าหวานหรือหญ้าพันธุ์เขื่อนนี้สามารถหล่อเลี้ยงทำให้สัตว์มีการเจริญเติบโตอย่างเต็มที่เพื่อให้สัตว์มีความสมบูรณ์ได้สัดส่วนที่เกษตรกรหรือผู้ที่นิยมชอบเลี้ยงสัตว์จำพวก วัว ควาย แพะ แกะ หรือตั๊กแตนปาทังก้า หรือสัตว์เลี้ยงที่กินหญ้าสามารถใช้เป็นอาหารหลักได้อีกด้วย ทุกท่าน

อย่างไรก็ตาม ในพื้นที่ ต. โพนทอง อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ เป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่มีเกษตรกรนิยมปลูกหญ้าเพื่อทำการเลี้ยงในด้านปศุสัตว์เป็นจำนวนมากประมาณ 2-3 พันไร่ มีร้านรับซื้อและขายตรงบริเวณมอดินแดงต้องข้ามกับปั้มน้ำมัน ปตท. เรียงรายริมถนนหลายสิบร้านด้วยกัน ซึ่งสามารถสร้างรายงานในช่วงหน้าแล้งได้เป็นอย่างดี

กาฬสินธุ์ เย็นชุ่มฉ่ำรดน้ำดำหัวขอพรผู้สูงอายุสืบสานประเพณีสงกรานต์ปีใหม่ไทย

To buy the best replica watches in the world, please visit boomwatches.co.uk.

Buy 1:1 quality replica watches at oldwatches.uk.Get the perfect replica rolex, tag heuer, omega, breitling, hublot replica watches for you while enjoying discounted prices and free shipping.

We Have Price and Quality Preference for 1:1 replica Omega watches.

“วิรัช พิมพะนิตย์ ส.ส.กาฬสินธุ์ เขต 1 ร่วมส่งเสริมสืบสานประเพณีไทยรดน้ำดำหัวขอพรผู้สูงอายุ ในเทศกาลสงกรานต์ปีใหม่ไทย เพื่ออนุรักษ์วัฒนธรรมที่แสดงออกถึงความกตัญญูกตเวที

วันที่ 11 เมษายน 2567 เวลา 09.00 น. ที่ลานเอนกประสงค์สำนักงานเทศบาลตำบลเหนือ อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ นายวิรัช พิมพะนิตย์ ส.ส.กาฬสินธุ์ เขต 1 เป็นประธานเปิดงานในโครงการสืบสานประเพณีสงกรานต์ สรงน้ำพระ รดน้ำขอพรผู้สูงอายุ สร้างสุข ทุกพื้นที่ปลอดภัย เพื่อผู้สูงอายุ และครอบครัว โดยมีนายกีรฒิการย์ พิมพะนิตย์ อดีตเลขานุการนายกอบจ.กาฬสินธุ์ร่วมติดตามพร้อมคณะ

โดยกิจกรรมนี้จัดขึ้นโดยเทศบาลตำบลเหนือ ร่วมกับชมรมกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เพื่อส่งเสริมสืบสานอนุรักษ์ประเพณีวัฒนธรรม อันดีงามที่แสดงออกถึงความกตัญญูกตเวฑิตา พร้อมกับส่งเสริมกิจกรรมของผู้สูงอายุ ซึ่งบรรยากาศเป็นไปด้วยความอบอุ่น มีนายวัญณวัช จุลบุรมย์ นายกเทศมนตรีตำบลเหนือ พร้อมคณะผู้บริหาร พร้อมด้วย กำนัน ผู้ใหญ่ อสม.ให้การต้อนรับ ทั้งนี้กิจกรรมในงานยังมีตัวแทนผู้สูงอายุ ร้องกลอนลำ แสดงการร้องเพลงเต้นรำ บรรยากาศเป็นไปด้วยความอบอุ่น สร้างรอยยิ้ม มีความสุขถ้วนหน้า

จากนั้นนายวิรัช พิมพะนิตย์ พร้อมคณะ เป็นประธานเปิดงานโครงการรดน้ำดำหัวผู้สูงอายุ โดยเทศบาลตำบลเชียงเครือ อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ จัดขึ้น เพื่อส่งเสริมอนุรักษ์วัฒนธรรมอันดีงาม โดยเชิญผู้สูงอายุมาร่วมกิจกรรม ณ บริเวณด้านหน้าสำนักงานเทศบาลตำบลเชียงเครือ มีการส่งความสุขมอบไอศครีมให้กับผู้สูงอายุได้คลายร้อน มีนายชิต เฉิดเจือ นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลเชียงเครือ พร้อมคณะผู้บริหาร กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อสม.ให้การต้อนรับ มีการแสดงของโรงเรียนผู้สูงอายุ จากนั้นประธานในพิธีได้นำคณะ รดน้ำดำหัวขอพรผู้สูงอายุส่งผ่านความสุขด้วยรอยยิ้มตลอดกิจกรรม

จากนั้นนายวิรัช พิมพะนิตย์ พร้อมคณะ เดินทางไปส่งความสุขมอบกำลังใจให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานที่ศูนย์อำนวยความสะดวกและความปลอดภัยทางถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ในช่วง 7 วัน อันตราย ระหว่างวันที่ 11 – 17 เมษายน 2567 ณ บริเวณด้านหน้าสำนักงานเทศบาลตำบลห้วยโพธิ์ อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ มีนายสุนทร เจริญพันธ์ นายกเทศมนตรีตำบลห้วยโพธิ์ พร้อมคณะเจ้าหน้าที่ รพ.สต. กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อปพร. ให้การต้อนรับ โดยมี พ.ต.ท.อภิชาติ  ประพิณ รอง ผกก.ป.สภ.เมืองกาฬสินธุ์ พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจส่งมอบเครื่องดื่มให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในศูนย์ฯดังกล่าว

นายวิรัช พิมพะนิตย์ ส.ส.กาฬสินธุ์ เขต 1 กล่าวว่า ในวันนี้ได้เดินทางมาให้กำลังใจกับคณะเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในศูนย์อำนวยความสะดวกและความปลอดภัยทางถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ของสำนักงานเทศบาลตำบลห้วยโพธิ์ มีนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลห้วยโพธิ์ เจ้าหน้าที่ รพ.สต. อสม. อปพร. และเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ออกปฏิบัติหน้าที่ในการอำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชนที่กำลังเดินทางในการสัญจรโดยใช้เส้นทางจาก จ.ร้อยเอ็ด มายัง อ.กลมาไสย เข้ามายัง อ.เมืองกาฬสินธุ์ ซึ่งช่วงนี้เป็นในช่วง 7 วัน อันตรายอยู่ในระหว่างวันที่ 11 – 17 เมษายน 2567 อยากจะฝากถึงพี่น้องประชาชนที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีอาการมึนเมาควรงดการเดินทางเพื่อลดอุบัติเหตุทางท้องถนนที่สามารถเกิดขึ้นได้ สุดท้ายนี้ขอฝากพี่น้องประชาชนที่กำลังเดินทางกลับภูมิลำเนาเพื่อไปหาครอบครัวในช่วงเทศกาลสงกรานต์หรือปีใหม่ไทย ขอให้ทุกท่านมีความปลอดภัยทุกการเดินทางกลับเข้าสู่อ้อมกอดของครอบครัวอย่างมีความสุข ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขอให้กำลังใจพี่น้องประชาชนทั่วประเทศและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกท่าน ขอให้ทุกท่านท่องเที่ยวอย่างมีความสุขตลอดช่วงเทศกาลสงกรานต์

กาฬสินธุ์ -เปิดปฏิบัติการไล่ล่าเด็ดปีกนักค้ายาเสพติดอีสานเหนือ

ตำรวจภูธรจังหวัดกาฬสินธุ์ร่วมกับฝ่ายปกครอง และฝ่ายความมั่นคง เปิดปฏิบัติการไล่ล่าเด็ดปีกนักค้าอีสานเหนือ 252 พุ่งเป้าหมายพ่อค้ายาบ้าที่ศาลออกหมายจับ ขณะที่ผู้ว่าฯกาฬสินธุ์ประกาศลั่นจับผู้ค้ายาได้พร้อมขยายผลยึดทรัพย์ให้ตกเป็นของแผ่นดินทันที

เมื่อวันที่ 29 ม.ค. 2567 เวลา 05.00 น.ที่ลานเอนกประสงค์หน้าสำนักงานตำรวจภูธร จ.กาฬสินธุ์ นายสนั่น พงษ์อักษร ผวจ.กาฬสินธุ์ พล.ต.ต.ตรีวิทย์ ศรีประภา ผบก.ภ.จว.กาฬสินธุ์ พ.อ.นิสิต สมานมิตร รองผอ.รมน.กาฬสินธุ์ นายผดุงศักดิ์ อิ่มเอิบ ปลัด จ.กาฬสินธุ์ พ.ต.อ.อิทธิเดช สุนทร ผกก.สภ.เมืองกาฬสินธุ์ นายประสงค์ จันทร์กระจ่าง ป้องกัน จ.กาฬสินธุ์ ร่วมกันเปิดปฏิบัติการไล่ล่า (เด็ดปีก) นักค้าอีสานเหนือ 252 “No place for drug” (NPD.P4)

โดยมีเจ้าหน้าที่สาธารณสุข จ.กาฬสินธุ์ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองกาฬสินธุ์ สภ.ยางตลาด อาสาสมัครรักษาดินแดน เจ้าหน้าที่ อพปร. เทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ ร่วมปล่อยแถวระดมกวาดล้างตามนโยบายตำรวจภูธรภาค 4 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และนโยบายของรัฐบาล ที่ได้ประกาศลดปัญหายาเสพติดภายในระยะเวลา 1 ปี เพื่อเป็นการลดความเดือดร้อนของประชาชน โดยพุ่งเป้าไปที่ผู้ผลิตและผู้ค้าเป็นหลัก ซึ่ง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร.เน้นย้ำการแก้ไขปัญหายาเสพติดในทุกมิติอย่างเป็นระบบมีการปราบปรามผู้ผลิตและผู้ค้ายาโดยใช้มาตรการทางกฎหมายอย่างจริงจังและเด็ดขาดขยายผลยึดทรัพย์เพื่อตัดวงจรยาเสพติด

พล.ต.ต.ตรีวิทย์ ศรีประภา ผบก.ภ.จว.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า ตำรวจภูธรจังหวัดกาฬสินธุ์ได้ขอศาลอนุมัติออกหมายจับผู้ต้องที่เกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติดประมาณ 50 ราย ตั้งแต่ออกหมายจับผู้ค้ายาเสพติดและมีการขยายผล เจ้าหน้าที่ได้ทำการจับกุม เพื่อสืบหาผู้ค้ารายใหญ่ ซึ่งได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ในขณะนี้เหลือผู้ต้องหาที่ศาลได้ออกหมายจับ 33 คน และวันนี้ได้เปิดปฏิบัติการไล่ล่า (เด็ดปีก) นักค้าอีสานเหนือ 252 “No place for drug” (NPD.P4) ในส่วนการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องเน้นที่พยานหลักฐานเป็นหลัก เพราะยาเสพติดเป็นปัญหาร้ายแรงของชาติ ผู้ค้าหรือผู้เสพถ้า หากคิดได้ก็อยากให้เลิกยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด แต่หากไม่เลิก และหากตำรวจทำการจับกุมมีพยานหลักฐานที่ชัดเจน พร้อมออกหมายจับ ยึดทรัพย์ทุกราย และจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุดเท่าที่ความสามารถจะทำได้

ด้านนายสนั่น พงษ์อักษร ผวจ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า การเปิดปฏิบัติการไล่ล่า (เด็ดปีก) นักค้าอีสานเหนือ 252 “No place for drug” (NPD.P4)เป็นไปตามตามนโยบายตำรวจภูธรภาค 4 และรัฐบาลที่มุ่งหวังที่จะจัดการกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ผู้ค้าและผู้เสพในรายที่สำคัญในพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งขณะนี้มีข้อมูลไว้เบื้องต้นแล้ว ส่วนเป้าหมายในการดำเนินการ 33 – 34 เป้าหมายด้วยกัน ในการปล่อยแถวมีกำลังพลของตำรวจ ฝ่ายปกครอง ฝ่ายทหาร อปพร. สาธารณสุข เพื่อเข้าไปตรวจสอบ หลังจากมีการออกหมายจับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จะจัดการกับกลุ่มนักค้าทั้งรายใหญ่และรายย่อย ซึ่ง จ.กาฬสินธุ์ยืนยันว่าจะดำเนินการเข้มข้นโดยการนำของ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด ที่เข้มแข็งสามารถดำเนินการจับกุมนำมาดำเนินคดีผู้ค้ารายย่อยและรายใหญ่ ขยายผลติดตามพร้อมยึดทรัพย์ เราได้ดำเนินการตามยุทธการฟ้าแดดสงยางมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมมีความเข้มข้นครอบคลุมทั้งพื้นที่ 18 อำเภอของ จ.กาฬสินธุ์ต่อไป

กาฬสินธุ์ ระดับน้ำเขื่อนลำปาวเริ่มลด สสจ.ลุยเยี่ยมผู้ป่วยเรื้อรังเตือนโรคมากับน้ำท่วม

สถานการณ์น้ำเขื่อนลำปาว จังหวัดกาฬสินธุ์ เริ่มมีแนวโน้มไปในทางดีที่  ด้านผอ.โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาลำปาว เผยล่าสุดระดับน้ำลดลงจากช่วงที่เกินกักเก็บแล้ว 7 ซม.แต่ยังจำเป็นต้องระบายน้ำคงที่วันละ 29  ล้านลบ.ม.เนื่องจากยังมีมวลน้ำยังไหลเข้าต่อเนื่อง  ย้ำเขื่อนลำปาวได้ทำหน้าที่รับน้ำและชะลอน้ำป้องกันอุทกภัยพื้นที่ด้านท้ายได้อย่างดี ขณะที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ นำ อสม. ลงพื้นที่เยี่ยมสถานพยาบาล พร้อมเยี่ยมผู้สูงอายุและผู้ป่วยเรื้อรัง และจ่ายยาสำหรับการรักษาพยาบาลเบื้องต้น โดยได้ให้คำแนะนำการดูแลสุขภาพและเตือนระวังโรคในช่วงที่เกิดน้ำท่วม

วันที่ 3 ตุลาคม 2566 ผู้สื่อข่าวรายงาน สถานการณ์น้ำเขื่อนลำปาว จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งมวลน้ำยังคงไหลเติมเข้าอ่างอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดวันนี้ไหลเข้าเพิ่มอีก 18 ล้านลูกบาศก์เมตร ทำให้เขื่อนลำปาวมีปริมาณอยู่ที่ 2,050 ล้าน ลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 103.54 เปอร์เซ็นต์ จากความจุระดับกักเก็บ 1,980 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งยังเกินระดับกักเก็บอยู่ 70 ลูกบาศก์เมตร

ด้านนายสำรวย  อินพิทักษ์ ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาลำปาว ระบุว่า สำหรับสถานการณ์เขื่อนลำปาวล่าสุด มีแนวโน้มไปในทางที่ดีขึ้น ซึ่งจากการลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์พบว่าล่าสุดระดับน้ำบริเวณหน้าอ่างเริ่มลดลง โดยเมื่อวานนี้ 2 ตุลาคม 2566 ระดับน้ำลดลง 2 ซม. และวันนี้ลดลงอีก 5 ซม.รวม 2 วันระดับน้ำลดลง 7 ซม.จากเดิมระดับน้ำสูงที่ 164.29 ม.รทก.ปัจจุบันอยู่ที่ 164.22 ม.รทก.ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดี ทั้งนี้แต่เนื่องจากยังมีมวลน้ำไหลเข้ามาในอ่างเพิ่มต่อเนื่อง ทำให้ยังมีความจำเป็นที่ต้องระบายน้ำ เพื่อรักษาเสถียรภาพของตัวเขื่อน โดยวันนี้ระบายอยู่ที่ 29.55 ล้านลูกบาศก์เมตร และจะมีการปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ไปจนกว่าจะเข้าสู่เกณฑ์ปกติ

นายสำรวย  กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตามสถานการณ์น้ำเขื่อนลำปาวในปีนี้ มีน้ำไหลเข้าอ่างในปริมาณมากกว่าปกติ โดยเฉพาะในช่วงนี้มีปริมาณน้ำไหลเข้าต่อวันจำนวนมาก บางวันละไหลเข้า 80 ล้าน 50 ล้าน และ 30 ล้าน ซึ่งทางเขื่อนได้ระบายสูงสุดอยู่ที่ 30 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งจะเห็นได้ว่าเขื่อนลำปาวได้ทำหน้าที่ในการรองรับ กักเก็บ และชะลอมวลน้ำจำนวนมหาศาลไว้ เพื่อน้ำป้องกันการเกิดอุทกภัยในพื้นที่ท้ายน้ำได้อย่างดี

ขณะที่มีรายงานว่า นพ.พรพัฒน์ ภูนากลม นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรมป้องกัน) รองนายแพทย์สาธารณสุข จ.กาฬสินธุ์ ดร.สม นาสอ้าน นักวิชาการสาธารณสุขเชี่ยวชาญ รองนายแพทย์สาธารณสุข จ.กาฬสินธุ์ นายศิริศักดิ์ บุญไชยแสน สาธารณสุขอำเภอเมืองกาฬสินธุ์ และเจ้าหน้าที่ สสจ.กาฬสินธุ์ โดยมีนายสุเทพ ชัยรัตน์ นายอำเภอเมืองกาฬสินธุ์ ร่วมลงพื้นที่เยี่ยมผู้ประสบภัยน้ำท่วมและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานที่บ้านท่าสีดา ต.ลำพาน อ.เมืองกาฬสินธุ์  จ.กาฬสินธุ์

นอกจากนี้ยังได้ลงพื้นที่เยี่ยมผู้ประสบภัยน้ำท่วมและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานที่ย้ายจาก รพ.สต.บ้านดอนยานาง เนื่องจากน้ำท่วมมายังวัดสว่างโพธิ์ทองบ้านดอนยานาง ต.ดงสมบูรณ์ อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ เพื่อตั้งจัดปฐมพยาบาลและดูแลประชาชนชั่วคราว โดยมี นายแพทย์วรวิทย์ เจริญพร ผู้อำนวยการ รพ.ยางตลาด  ดร.จักราวุฒิ วงษ์ภักดี สาธารณสุขอำเภอเมืองยางตลาด และได้เดินทางเข้าสำรวจพื้นที่ รพ.สต.บ้านดอนยานาง ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม

โดยสำนักงานสาธารณสุข จ.กาฬสินธุ์ ได้สนับสนุน ยาและเวชภัณฑ์ อุปกรณ์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม แก่โรงพยาบาลและสำนักงานสาธารณสุขอำเภอที่ได้รับผลกระทบรวมถึงได้จัดทีมเจ้าหน้าที่ออกเยี่ยมประชาชนทันทีที่เกิดภาวะน้ำท่วม ได้จ่ายยาสำหรับการรักษาพยาบาลเบื้องต้น เยี่ยมดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วยเรื้อรัง โดยได้ให้คำแนะนำการดูแลสุขภาพในช่วงที่เกิดน้ำท่วม

นพ.พรพัฒน์ ภูนากลม กล่าวว่า สำนักงานสาธารณจังหวัด ได้ติดตามสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่จ.กาฬสินธุ์อย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมพร้อมรับมือและให้ความช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ประชาชนผู้ประสบภัยน้ำท่วม โดยมอบหมายให้หน่วยงานและฝ่ายที่เกี่ยวข้องในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขจัดเตรียมยาและเวชภัณฑ์ให้เพียงพอกับความต้องการของประชาชน พร้อมทั้งประสานงานอย่างใกล้ชิดกับพื้นที่น้ำท่วม

นพ.พรพัฒน์ กล่าวต่อว่า สถานพยาบาลทุกแห่งเปิดให้บริการได้ตามปกติ ได้ส่งหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกให้บริการประชาชน เยี่ยมบ้านผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง ผู้ป่วยโรคเบาหวาน หัวใจ ความดันโลหิตสูง ไม่ให้ขาดยา เพื่อเตรียมให้การช่วยเหลือ และขอให้ประชาชนดูแลสุขภาพ พร้อมทั้งเฝ้าระวังและป้องกันโรคและภัยสุขภาพที่มากับน้ำท่วม 3 กลุ่ม ทั้งพื้นที่น้ำท่วมและหลังน้ำลด คือ 1.อุบัติเหตุ เช่นจมน้ำ ไฟฟ้าดูด วัตถุแหลมคม

โดยเน้นให้ความรู้ประชาชนหลีกเลี่ยงการลุยน้ำย่ำโคลน หากจำเป็นให้สวมรองเท้าบูท ถึงบ้านแล้วให้อาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาด รับประทานอาหารสุกร้อน ล้างมือก่อนรับประทานอาหารหรือหลังเข้าห้องน้ำ เพื่อหลีกเลี่ยงโรคติดเชื้อทางเดินอาหาร หากมีอาการเจ็บป่วยทางเดินหายใจให้สวมหน้ากากอนามัย ปิดปากและจมูกเมื่อไอหรือจาม และไม่ใช้สิ่งของร่วมกัน 2.สัตว์ แมลงมีพิษกัดต่อย เช่น งู แมลง ปลิง เป็นต้น และ 3.กลุ่มโรคติดเชื้อ ได้แก่ โรคน้ำกัดเท้า โรคผิวหนังจากเชื้อรา โรคตาแดงจากเชื้อไวรัส โรคไข้หวัดใหญ่ โรคปอดบวม โรคอุจจาระร่วง โรคอาหารเป็นพิษ และโรคไข้ฉี่หนู หรือเลปโตสไปโรซิส  ทั้งนี้ หากประชาชนได้เจ็บป่วยฉุกเฉิน สามารถโทรแจ้งสายด่วนศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการจังหวัดกาฬสินธุ์ โทร. 1669 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อเข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที

ที่มา : https://www.esandailyonline.com

กาฬสินธุ์ – แฉยับยักยอกเงินชาวบ้าน 30 ล้านใช้เครื่องพิมพ์ดีดปรับสมุดบัญชี

กาฬสินธุ์แฉยับยักยอกเงินชาวบ้าน 30 ล้านใช้เครื่องพิมพ์ดีดปรับสมุดบัญชี

คณะกรรมการกองทุนเงินล้านและสมาชิก กทบ.ในอำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ 38 กองทุน กว่า 6,800 คน ตบเท้าแฉพฤติกรรมเจ้าหน้าที่ธนาคารออมสินที่ยักยอกเงินกู้เกือบ 30 ล้าน ใช้เครื่องพิมพ์ดีดปรับสมุดบัญชีตบตา อ้างเงินเข้าระบบ รอเบิก ก่อนล่องหนทั้งคนทั้งเงิน ขณะที่ผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์เผย ได้รับแจ้งจากออมสินสาขาใหญ่เตรียมเยียวยาชาวบ้านลูกหนี้ กทบ.แล้ว

จากกรณีชาวบ้าน สมาชิกกองทุนเงินล้าน หรือ กทบ. จำนวน 38 กองทุน สมาชิก 6,840 คน กำลังได้รับความเดือดร้อน หลังเจ้าหน้าที่ธนาคารออมสิน สาขากุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์ ที่รับผิดชอบกองทุนเงินล้าน หรือ กทบ.ยักยอกเงินกู้เกือบ 30 ล้านบาท ล่าสุดผู้บริหารธนาคารออมสิน ระดับภาคจากขอนแก่น ลงพื้นที่รับฟังปัญหา ขณะที่แนวทางการแก้ไขปัญหา จากผู้บริหารสถาบันการเงินดังกล่าว เบื้องต้นยังไม่ชัดเจน ตามข่าวที่เสนอแล้วนั้น

ล่าสุด วันที่ 1 กันยายน 2566 บรรยากาศตามที่ทำการกองทุนเงินล้าน หรือ กทบ.ในพื้นที่ อ.กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์ คณะกรรมการกองทุนและสมาชิก กทบ. ยังคงจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งระบุว่าเป็นเหตุการณ์ที่ไม่น่าเกิด เพราะตั้งแต่ก่อตั้งกองทุนมาตั้งแต่ปี 2544 สมาชิกกองทุนได้นำเงินกู้ ดอกเบี้ยต่ำ จาก กทบ.มาประกอบอาชีพ หมุนเวียนในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะซื้อปุ๋ยบำรุงต้นข้าวที่กำลังเจริญงอกงามในแปลงนา แต่ปีนี้กลับสะดุด เพราะเงินที่ยื่นกู้กับกองทุนคนละหมื่นสองหมื่น ถูกเจ้าหน้าที่ยักยอกไป จึงไม่มีเงินซื้อปุ๋ยเคมี และหมุนเวียนในการประกอบอาชีพค้าขาย ต่างได้รับความเดือดร้อนไปตามๆกัน

นายอนันต์ แย้มสมัย ผู้ใหญ่บ้านบ้านหนองแข้หมู่ 15 ในฐานะประธาน กทบ.หนองแข้ หมู่ 15 ต.จุมจัง อ.กุฉินารายณ์ กล่าวว่า ก่อนทราบเรื่องเงินถูกเจ้าหน้าที่ธนาคารยักยอกไป ตนพร้อมคณะกรรมการ กทบ.ได้นำสมุดบัญชีเงินฝากกองทุนหมู่บ้านเข้ามาตรวจสอบเมื่อในวันที่ 11 ส.ค.66 ที่ผ่านมา พบว่าเงินในกองทุนหมู่บ้านหนองแข้ หมู่ 15 ที่มีการฝากไว้ 180,000 กว่าบาทเมื่อ 3 เดือนที่แล้ว เหลือเงินในบัญชีเพียง 2,000 บาทเท่านั้น ทำให้ทุกคนรู้สึกตกใจและสงสัยว่า ทำไมเงินที่ฝากไว้หายไป จึงสอบถามเจ้าหน้าที่ประจำเคาน์เตอร์ได้คำตอบว่า ที่ชาวบ้านนำเงินมาฝากกับพนักงานคนดังกล่าวที่ยักยอกเงินไปนั้น ไม่ใช่พนักงานของทางธนาคาร แต่เป็นเพียงแม่บ้านของธนาคาร ทำให้ชาวบ้านรู้สึกมึนงง ว่าทำไมที่ผ่านมาเวลาชาวบ้านนำเงินกองทุนไปนำฝากกับทางธนาคาร เจ้าหน้าที่ทางธนาคารจึงให้นำเงินและเอกสารไปยื่นกับแม่บ้านคนนี้ เพื่อตรวจสอบเงินและเอกสาร แต่พอเกิดเรื่องขึ้นมากับบอกว่าแม่บ้านไม่ใช่พนักงานของทางธนาคาร ทั้งที่ทุกครั้งที่นำเงินไปฝากก็ต้องเอาเอกสารพร้อมกับเงินไปให้แม่บ้านคนนี้ตรวจสอบเหตุ

นายอนันต์กล่าวอีกว่า นอกจากนี้จากการตรวจดูรายการปรับสมุดบัญชี กทบ.ของแต่ละหมู่บ้านยังพบพิรุธ แทนที่จะเป็นรอยพิมพ์จากเครื่องคอมพิวเตอร์เหมือนปีที่ผ่านมา กลับพบว่าตัวเลขในบัญชีพิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์ดีด จึงชี้ชัดได้ว่าคนที่ยักยอกเงินไป ใช้เครื่องพิมพ์ดีดพิมพ์จำนวนเงินโอนเข้าเพื่อตบตาชาวบ้าน และให้ตายใจว่าเงินเข้าบัญชีแล้ว และให้รอเบิกทีหลัง เพราะตอนนี้เงินในธนาคารยังไม่พอ พฤติกรรมดังกล่าวจึงเชื่อว่าทำเป็นขบวนการ คนๆเดียวคงทำไม่ได้แน่นอน

ด้านนายอุทัย สิงห์ทอง พัฒนาการ จ.กาฬสินธุ์ ในฐานะคณะอนุกรรมการติดตามและสนับสนุน กทบ.ระดับจังหวัด ทราบเรื่องเจ้าหน้าที่ธนาคารดังกล่าว ยักยอกเงินเมื่อวันที่ 4 ส.ค.66 ที่ผ่านมา จึงได้ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง กับผู้จัดการธนาคารออมสินสาขากุฉินารายณ์ ทราบว่าเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจริง เบื้องต้นได้แนะนำประธาน กทบ.หารือกับทางสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ หรือ สทบ. สาขา 4 (จ.ร้อยเอ็ด) ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์ด้วย ทั้งนี้ เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาและดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

ขณะที่นายศุภศิษย์ กอเจริญยศ ผวจ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า เรื่องที่เกิดขึ้น เบื้องต้นได้รับการรายงานจากนายอุทัย สิงห์ทอง พัฒนาการ จ.กาฬสินธุ์ และได้รับการประสานจากผู้บริหารธนาคารออมสินส่วนกลางแล้วว่า จะมีการติดตาม สอบสวน หาผู้กระทำผิดลงโทษตามกฎหมาย ในส่วนความเสียหายต่างๆ ทางธนาคารก็จะเยียวยาให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบตามหลักสุจริต ทั้งนี้ สัปดาห์หน้าทางธนาคารออมสินสาขาใหญ่และออมสินเขตขอนแก่น ก็จะเดินทางมาพบ เพื่อหาแนวทางแก้ไขต่อไป นอกจากนี้ยังได้กำชับพัฒนาชุมชน จ.กาฬสินธุ์ ได้ทำความเข้าใจกับพี่น้อง ประชาชนและกรรมการ ที่มีการรวมตัวกันในลักษณะกองทุนต่างๆ เช่น กองทุนหมู่บ้าน กลุ่มออมทรัพย์ สหกรณ์ต่างๆ ได้ร่วมกันสอดส่อง กำกับดูแล เพื่อเป็นการป้องกันและไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นอีก

กาฬสินธุ์ – กอ.รมน.ฮึ่มล้อมคอกป้องกันนายทุนหลอกชาวบ้านกู้เงินเลี้ยงหมู

กอ.รมน.ฮึ่มล้อมคอกป้องกันนายทุนหลอกชาวบ้านกู้เงินเลี้ยงหมู กอ.รมน.จังหวัดกาฬสินธุ์ ฮึ่ม นายทุนต้องอุ้มเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูให้ตลอดรอดฝั่ง ย้ำอย่าหลอกชาวบ้านและผลักภาระหนี้สินให้ชาวบ้านมากเกินไป ด้านผู้จัดการ ธกส.สาขาสหัสขันธ์ เผยจากการป้องปรามของทุกฝ่าย เชื่อธุรกิจเลี้ยงหมูไปต่อได้ หากประสบปัญหาเตรียมแผนรองรับปรับโครงสร้างหนี้ให้เกษตร

จากกรณีชาวบ้านใน ต.สหัสขันธ์ และต.นามะเขือ อ.สหัสขันธ์ จ.กาฬสินธุ์ ได้รับความเดือดร้อนสาหัส จากกลิ่นเหม็นของขี้หมู ที่โชยออกมาจากฟาร์มเลี้ยงหมูเอกชน 16 ฟาร์ม ส่งผลให้สุขภาพจิตเสีย ปวดหัวปวดประสาทและเจ็บป่วยด้วยโรคทางลมหายใจ เรียกร้องหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรีบแก้ไข มีการติดตามผลเป็นระยะ พร้อมเรียกร้องนายทุนใช้หลักเมตตาธรรมช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงหมู เนื่องจากเกษตรผู้เลี้ยงหมู 8 รายแบกรับภาระหนี้รายละกว่า 6 ล้านบาท รวมกว่า 50 ล้านบาทตามข่าวที่เสนอแล้วนั้น

ล่าสุด วันที่ 17 มิถุนายน 2566 มีรายงานว่า ที่ห้องประชุมที่ว่าการอำเภอสหัสขันธ์ จ.กาฬสินธุ์ นางสาวแววตา นระทัด นายอำเภอสหัสขันธ์ เป็นประธานประชุมการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนเหตุเดือดร้อนรำคาญ กรณีประชาชนได้รับความเดือดร้อนทางกลิ่น จากฟาร์มเลี้ยงหมู ในเขต ต.นามะเขือ และต.สหัสขันธ์ โดยมี พ.ท.สุรพร ฮูมเปือย หัวหน้ากลุ่มประสานงาน กอ.รมน.จังหวัดกาฬสินธุ์ พ.ท.วิศิษศักดิ์ ภูกิ่งเพชร หัวหน้าฝ่ายกิจการมวลชน กอ.รมน.จังหวัดกาฬสินธุ์ ร.ท.วิทยา เทพจันทร์ รองหัวหน้าฝ่ายประสานความมั่นคง กอ.รมน.จังหวัดกาฬสินธุ์ นายประดิษฐ สุดชาดา ผู้อำนวยการส่วนสิ่งแวดล้อม สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จ.กาฬสินธุ์ นายสุระเดช วงษ์ศรีทา ผู้จัดการ ธกส.สาขาสหัสขันธ์ นายชุมพล แสบงบาล สาธารณสุข อ.สหัสขันธ์ พร้อมด้วยปศุสัตว์ อ.สหัสขันธ์ ตัวแทนบริษัทที่เข้ามาส่งเสริมเลี้ยงหมู ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ผู้ประกอบการ และชาวบ้าน ร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง

นางสาวแววตา นระทัด นายอำเภอสหัสขันธ์กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ เป็นการติดตามผลการแก้ปัญหาข้อร้องเรียน กรณีชาวบ้านใน ต.นามะเขือ และต.สหัสขันธ์ ได้รับความเดือดร้อนจากมลพิษทางอากาศ ซึ่งมีสาเหตุจากฟาร์มเลี้ยงหมูเอกชน 16 ฟาร์ม หลังจากที่มีการประชุมไปแล้วครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 23 พ.ค.66 ที่ผ่านมา ซึ่งพบว่าการแก้ไขปัญหามีความคืบหน้าไปมาก โดยในช่วงนี้อยู่ระหว่างทยอยจับหมูจำหน่าย และจะเริ่มลงมือจัดทำบ่อบำบัดที่ได้มาตรฐานทันทีที่จำหน่ายหมูออกหมด
ด้าน พ.ท.สุรพร ฮูมเปือย หัวหน้ากลุ่มประสานงาน กอ.รมน.จังหวัดกาฬสินธุ์ กล่าวว่า ปัญหาข้อร้องเรียนที่เกิดขึ้นนั้น ส่งผลกระทบในวงกว้าง เนื่องจากทางบริษัทที่เข้ามาส่งเสริมและผู้ประกอบการทำกันเอง ในลักษณะไม่คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดตามมา พอเกิดปัญหาแล้วก็ส่งผลกระทบถึงสังคมรอบด้าน ผู้หลักผู้ใหญ่ในจังหวัดก็เป็นห่วง จึงอยากให้ทางบริษัทรีบเร่งแก้ไขปัญหาให้เสร็จสิ้น

รวมทั้งประคับประคองให้เกษตรกรที่เลี้ยงหมู สามารถประกอบธุรกิจไปได้ อย่าหลอกให้ชาวบ้านลงทุนและแบกรับหนี้สินฝ่ายเดียว ไม่อยากให้เกิดภาพลักษณ์ที่ไม่ดีต่อพื้นที่และบริษัทเอง เพราะจริงๆแล้ว ทางบริษัทต้องรู้ว่าปัญหาอะไรจะเกิดขึ้นในระหว่างการเลี้ยงหมู หากระบบการบริหารจัดการในฟาร์มไม่ได้มาตรฐาน แล้วทำไมปล่อยให้เกิดปัญหา และทุกฝ่ายต้องมาเหนื่อยในการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุอย่างนี้

ด้านนายสุระเดช วงษ์ศรีทา ผู้จัดการ ธกส.สาขาสหัสขันธ์ กล่าวว่า การปล่อยสินเชื่อเงินกู้เกษตรกรเลี้ยงหมู 8 รายก้อนแรก จ่ายไปครบแล้วโดยแบ่งจ่ายรายละ 4 งวด รวมประมาณ 50 ล้านบาท ขณะที่ในส่วนของการกู้เพิ่มเพื่อทำบ่อบำบัด อยู่ระหว่างดำเนินการยื่นกู้ ซึ่งแต่ละรายอาจจะได้ไม่เท่ากัน รายละประมาณ 4 แสนบาท หรือตามสภาพพื้นที่ อย่างไรก็ตาม จากการประชุมติดตามการแก้ไขปัญหา และหลายๆภาคส่วนมาร่วมประชุม เพื่อให้ธุรกิจการเลี้ยงหมูดำเนินต่อไป ตนเชื่อว่าคงจะไปต่อได้ หรือหากมีเหตุปัจจัย ที่ไม่สามารถไปต่อได้ ทางธกส.ก็มีแผนรองรับ โดยจะมีการปรับโครงสร้างหนี้ให้

ที่มา : https://www.esandailyonline.com/

กาฬสินธุ์-เหม็นขี้หมูกับหนี้ก้อนโต ทนายยุติธรรมเตรียมยื่นมือช่วยผู้เลี้ยงหมู

เหม็นขี้หมูกับหนี้ก้อนโต ทนายยุติธรรมเตรียมยื่นมือช่วยผู้เลี้ยงหมู ระบุเอกชนต้องร่วมแก้ไขเพราะหนี้ก้อนโต

ผลกระทบจากฟาร์มเลี้ยงหมูเอกชน บ่อเกิดกลิ่นเหม็นรบกวนชุมชนจนเป็นโรคปวดหัวปวดประสาท ไปรอบทิศทาง ส่งกลิ่นเหม็นลามเป็นไฟลามทุ่ง ล่าสุด! ทนายความประจำสำนักงานยุติธรรมจังหวัดกาฬสินธุ์ สะกิดต้นตอปัญหามาจากนายทุน “ปกปิด” ข้อเท็จจริง ชวนชาวบ้านร่วมลงทุนกู้เงิน ธกส. จนเป็นเหยื่อ ในรูปแบบ “เกษตรพันธสัญญา” ในฐานะผู้รับจ้างเลี้ยง แต่ “สภาพจริง” รับภาระหนี้ก้อนโต ชี้เป็นพิรุธ ขอความร่วมมือภาคส่วนที่เกี่ยวข้องตรวจสอบเชิงลึกในสัญญา ก่อนที่ชาวบ้านจะรับภาระหนี้เพิ่มมากกว่านี้

จากกรณีชาวบ้านใน ต.สหัสขันธ์ และต.นามะเขือ อ.สหัสขันธ์ จ.กาฬสินธุ์ ได้รับความเดือดร้อนจากกลิ่นเหม็นของขี้หมู ที่โชยออกมาจากฟาร์มเลี้ยงหมูเอกชน 16 ฟาร์ม โดยมีผลกระทบจากมลภาวะเป็นพิษทางอากาศ ส่งผลให้สุขภาพจิตเสีย ปวดหัวปวดประสาทและเจ็บป่วยด้วยโรคทางลมหายใจ เรียกร้องหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรีบแก้ไข ขณะที่นายอำเภอสหัสขันธ์เรียกทุกภาคส่วน ร่วมประชุมหาทางออก เพื่อแก้ปัญหาทั้งระบบภายใน 2 เดือน และติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง ตามข่าวที่เสนอแล้วนั้น

ล่าสุด วันที่ 9 มิถุนายน 2566 ที่สำนักงานกฎหมาย บ้านทนายความกาฬสินธุ์ นายสุวิทย์ แสงสิริวัฒนะ ทนายความประจำสำนักงานยุติธรรม จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่ากรณีดังกล่าวถือเป็นความเดือดร้อนของชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบ 2 ส่วน ทั้งส่วนตัวเกษตรกรพันธสัญญาและชาวบ้านในชุมชน อย่างไรก็ตาม ในการทำสัญญาระบบคอนแทรคฟาร์มมิ่ง หรือระบบเกษตรพันธสัญญานั้น เอกชนที่จะทำสัญญากับชาวบ้านจะต้องนำร่างสัญญามาให้สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญา สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทำการพิจารณากลั่นกรอง เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่เกษตรกร

นายสุวิทย์กล่าวอีกว่า จากปัญหาฟาร์มเลี้ยงหมูของเอกชน ส่งกลิ่นเหม็นเป็นมลพิษทางอากาศ ในพื้นที่ ต.สหัสขันธ์ และ ต.นามะเขือ อ.สหัสขันธ์ จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งหลายภาคส่วนตามที่ทราบกันดี คือฝ่ายปกครอง ท้องถิ่น ท้องที่ ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง มีความพยายามเข้าไปแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นระยะนั้น รวมทั้งในส่วนการติดตั้งม่านน้ำ ใช้สารจุลินทรีย์ดับกลิ่น และจัดทำบ่อบำบัดใหม่ เป็นภาระของเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูทั้งนั้น และยังจะต้องไปขอกู้เงินเพิ่มจาก ธกส.อีกด้วย โดยส่วนตัวมองว่าชาวบ้านหรือเกษตรกรผู้เลี้ยงหมู ที่รู้ๆกันโดยทั่วไปว่าในฐานะ “ผู้รับจ้างเลี้ยง” ไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะตามความหมายผู้รับจ้างเลี้ยงนั้น ไม่ใช้ผู้ที่จะต้องออกค่าดำเนินการใดๆในขณะที่มีสถานะเป็นผู้รับจ้างเลี้ยง

นายสุวิทย์กล่าวเพิ่มเติมว่า นี่พูดแบบไม่ได้เห็นรายละเอียดในสัญญา แต่หากมีระบุในสัญญาจริง เชื่อว่าชาวบ้านที่ร่วมโครงการเลี้ยงหมูคงจะไม่ยินยอม ที่จะเป็นฝ่ายรับภาระในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า อย่างที่เกิดขึ้น อีกทั้งเอกชนที่เข้ามาให้การส่งเสริมเลี้ยงหมู ย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่า การเลี้ยงหมูนั้น จะต้องมีการบริหารจัดการในฟาร์มในขณะเลี้ยงยังไง มีการทำแผนรองรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อสิ่งแวดล้อม ชุมชน อย่างไร ซึ่งทางบริษัทจะต้องเป็นฝ่ายจัดการเอง โดยมีนักจัดการสิ่งแวดล้อมของบริษัทมากำกับดูแล

“แต่สิ่งที่เกิดขึ้นโดยฟาร์มหมูมีกลิ่นเหม็น มีชาวบ้านผู้เดือดร้อนร้องเรียน เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูต้องแก้ไขปัญหาเอง เช่น กู้เงินเพิ่มมาทำบ่อบำบัด ตนมองว่าปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น มีพิรุธ บริษัทเอกชนปกปิดชาวบ้านมาตั้งแต่แรก หรือหากมีระบุในสัญญาก็เป็นสัญญาที่ไม่เป็นธรรมกับผู้บริโภคหรือคู่ทำสัญญา ในฐานะทนายความประจำสำนักงานยุติธรรมฯ ที่ไม่อยากเห็นชาวบ้านถูกเอารัดเอาเปรียบ จึงขอความร่วมมือจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ร่วมตรวจสอบเชิงลึกสัญญาตัวนี้ด้วย ก่อนที่ปัญหาจะลุกลามไปไกล และชาวบ้านผู้เลี้ยงหมูต้องแบกรับภาระหนี้สินมากกว่านี้ เพราะดูๆแล้วตกเป็นลูกหนี้ ธกส.รายละ 6-7 ล้านบาทเข้าไปแล้ว ซึ่งไม่รู้ว่าจะต้องเลี้ยงหมูไปอีกกี่รุ่นกี่ปี ถึงจะปลดหนี้ได้ ทั้งนี้ สำหรับสำเนาคู่ฉบับเกษตรพันธสัญญาตัวนี้ คาดว่าน่าจะอยู่ในหน่วยงานหนึ่งหน่วยงานใดที่สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์” นายสุวิทย์กล่าว

ที่มา : https://www.esandailyonline.com/