นครศรีธรรมราช-กิจกรรม ปลูกต้นไม้ 500 ต้น และปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ จำนวน 100,000 ตัว

มณฑลทหารบกที่ 41 ร่วมกับชมรมกำนันผู้ใหญ่บ้าน อำเภอพระพรหม จังหวัดนครศรีธรรมราช เปิดกิจกรรม ปลูกต้นไม้ 500 ต้น และปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ จำนวน 100,000 ตัว เพื่ออนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้กลับคืนมาดังเดิม
วันนี้ (17 ก.ย. 2561) เวลา 1400 ณ บริเวณฝายมีชีวิตหาดทรายทอง หมู่ที่ 13 ตำบลท้ายสำเภา อำเภอพระพรหม จังหวัดนครศรีธรรมราช พลตรี อาคม พงศ์พรหม ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 41 เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรมปลูกต้นไม้และปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ ผู้ร่วมพิธี ประกอบด้วย นายทหารจากมณฑลทหารบกที่ 41 ,ประธานชมรมกำนันผู้ใหญ่บ้านฯ อำเภอพระพรหม , นายอำเภอพระพรหม , หัวหน้าส่วนราชการ , ผู้บริหารสถาบันการศึกษา , ประชาชนในพื้นที่ และร่วมด้วย ประธานชมรมแม่บ้านทหารบกสาขามณฑลทหารบกที่ 41 ร่วมกิจกรรมดังกล่าว โดยมี นาย สรรเพชญ์ ทันราย ประธานชมรมกำนันผู้ใหญ่บ้านฯ อำเภอพระพรหม กล่าวรายงาน
ปัจจุบันปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างฟุ่มเฟือย เนื่องจากผลที่จะตามมาเกิดกับมนุษย์ และผลที่เกิดเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่หน่วยงานราชการต่าง ๆ และ ประชาชน จะต้องมีความตระหนักถึงปัญหาเหล่านี้ การจัดกิจกรรมเพื่อปลูกฝั่งจิตสำนึกอนุรักษ์และ พัฒนาสิ่งแวดล้อมเป็นหน้าที่ของทุกคน ดังนั้น เพื่อฟื้นฟู ความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ให้กลับคืนมาดังเดิม ชมรมกำนันผู้ใหญ่บ้านฯ อำเภอพระพรหม ได้ร่วมกับมณฑลทหารบกที่ 41 และหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ได้จัดกิจกรรมปลูกต้นไม้และและพันธุ์สัตว์น้ำ (ปลูกป่า ปล่อยปลา) เพื่อ อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ให้กับทรัพยากรป่าไม้ และแหล่งอาหารตามธรรมชาติ ให้มีความอุดมสมบูรณ์กลับคืนมา สร้างจิตสำนึกและการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน และเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน ตามแนวคิดของโครงการชุมชนท่องเที่ยว OTOP ซึ่งกิจกรรมในวันนี้ มีการปลูกต้นไม้จำนวน 500 ต้น อาทิเช่น ต้นตะเคียนทอง , ต้นหลุมพอ , ต้นไม้สักทอง , ต้นไผ่ , ต้นลูกประ , ต้นมะขามป้อม พร้อมทั้งปล่อยปลาตะเพียน และกุ้งก้ามกราม จำนวน 100,000 ตัว
พลตรี อาคม พงศ์พรหม ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 41 ได้กล่าวในโอกาสนี้ว่า การรณรงค์การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม จะเป็นการสร้างองค์ความรู้ และจิตสำนึกของประชาชนให้ตระหนักถึงสภาวะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อรองรับและบรรเทาปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับเกษตรกรต่อไปในอนาคต อาทิ การขาดน้ำเพื่อการเกษตร การลดลงของผลผลิตทางการเกษตร การลดลงแหล่งอาหารตามธรรมชาติ รวมถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม ของเกษตรกรที่จะได้รับความเดือดร้อนจากรายได้ที่ลดลง
ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 41 ได้ฝากให้พี่น้องประชาชน ช่วยกันต้นไม้ที่ปลูก ปลาที่ปล่อยในวันนี้ ให้ช่วยกันดูแลรักษา ให้เจริญเติมโต อยากเห็นทุกภาคส่วนร่วมมือกันอย่างจริงจัง ที่จะเอาชนะปัญหาหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาความยากจน และปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ถ้าเราร่วมมือกันก็สามารถแก้ปัญหาได้ โดยการร่วมกันคิด ร่วมกันทำ เพื่อพี่น้องประชาชนก็จะได้กินดีอยู่ดี ในอนาคต
——————————————————

นครศรีธรรมราช-พิธีถวายพานพุ่มเครื่องราชสักการะ และจุดเทียนชัยถวายพระพรชัยมงคล ร.10

  • เมื่อ 28 ก.ค.61 พ.อ.สุรเทพ หนูแก้ว รอง ผบ.พล.ร.5(2) พร้อมด้วยนางโสธนา หนูแก้ว รองประธานชมรมแม่บ้าน ทบ.สาขา พล.ร.5 นำกำลังพล และสมาชิกชมรมแม่บ้าน ร่วมกับส่วนราชการพลเรือน ตำรวจ และประชาชนในพื้นที่ อ.ทุ่งสง จว.น.ศ. กระทำพิธีถวายพานพุ่มเครื่องราชสักการะ และจุดเทียนชัยถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร พระชนมพรรษา 66 พรรษา 28 ก.ค.61 ณ บริเวณพิธีฯ อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช

มณฑลทหารบกที่ 41 จับมือสภาททนายเมืองคอนลุยช่วยชาวบ้านเหยื่อนายทุนเงินกู้โหด

25 มิถุนายน 2561 เวลา 1400 พลตรีอาคม พงศ์พรหม ผู้บัญชาการควบคุม มณฑลทหารบกที่ 41 เป็นประธานการประชุมแก้ไขปัญหาเงินกู้นอกระบบ ณ ห้องประชุมเสนาณรงค์ กองบัญชาการควบคุมมณฑลทหารบกที่ 41 ค่ายวชิราวุธ ตำบลปากพูน อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช หลังจากเหตุการณ์ผ่านมา…..////
กองบัญชาการควบคุม มณฑลทหารบกที่ 41 จับมือสภาททนายเมืองคอนลุยช่วยชาวบ้านเหยื่อนายทุนเงินกู้โหด-พบ “สัญญาปลอม”เป็นช่อง ทางสู้คดีทั้งแพ่งและอาญา-ชาวบ้านเตรียมฟ้องกลับความผิดอาญาสัญญาปลอมฟ้องเกินจริงหลลายสิบเท่า สอบมารยาททนายเตรียมเสนอถอนใบอนุญาตสองทนายความผัวเมีย- ผู้บัญชาการควบคุม มณฑลทหารบกที่ 41 เรียกพบสองฝ่าย 25 มิถุนายน 2561 นี้-ลั่นสนองนโยบายรัฐชาลและ คสช.เงินกู้นอกระบบต้องหมดภายใน 6 เดือน
จากกรณีที่นายจรายพงศ์ ศักดิ์ศรี ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 2 ตำบลสามตำบล อำเภอจุฬาภรณ์ จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้นำชาวบ้านจาก อำเภอจุฬาภรณ์ จังหวัดนครศรีธรรมราช จำนวนกว่า 30 คน เดินทางเข้าร้องเรียนขอความเป็นธรรมและขอความช่วยเหลือจากศูนย์ข่าวนคร 24 ชม.สมาคมสื่อมวลชนจังหวัดนครศรีธรรมราช เนื่องจากได้รับความเดือดร้อนจากจากผู้มีอิทธิพลหรือนายทุนเงินกู้นอกระบบ ซึ่งเปิดสำนักงานทนายความ เพื่อให้ประชาชนเชื่อถือ โดยมีทนายความซึ่งเป็นอดีตนายตำรวจและทนายในสังกัดอีกหลายรายร่วมดำเนินการ ฟ้องร้องชาวบ้านเรียกค่าเสียหายทางแพ่งเกินจริง เช่น ชาวบ้านยืมเงินกันแค่ 1,000-2,000 บาท แต่กลุ่มนายทุนกลับรับมอบอำนาจและนำสัญญาเงินกู้ของชาวบ้านมายื่นฟ้องต่อศาลสูงถึงรายละ 1- 3 แสนบาทและหลายรายถูกฟ้องดำเนินคดีอาญาอีกด้วย มีชาวบ้านซึ่งส่วนใหญ่ฐานะยากจนตกเป็นเหยื่อได้รับความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส และเข้าร้องเรียนศูนย์ดำรงธรรม อำเภอจุฬาภรณ์ ก่อนจะรวบตัวกันเข้าร้องเรียนขอความช่วยเหลือจากสื่อมวลชน แต่ต่อมานายทุนได้เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับนายจรายพงศ์ ศักดิ์ศรี และชาวบ้านรวมอีก 17 คน ที่ร่วมลงชื่อในเอกสารร้องเรียน พร้อมทั้งผู้สื่อข่าว 3 คนประกอบด้วยนายไพฑูรย์ อินทศิลา ประธานศูนย์ข่าวนคร 24 ชม.สมาคมสื่อมวลชนนครศรีธรรมราช และ น.ส.กัญญาณัฐ เพ็ญสวัสดิ์ เลขานุการศูนย์ข่าวนคร 24 ชม. และนายยุทธนะ เตมะสิริ กรรมการสมาคมสื่อมวลชนจังหวัดนครศรีธรรมราช ในข้อหาร่วมกันหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ บิดเบือนหรือเป็นเท็จโดยการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น รวมผู้ต้องหาล็อตแรก 20 คน พนักสอบสวนมีความเห็นสั่งฟ้องส่งสำนวนให้อัยการสั่งฟ้องต่อศาล เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2561 ที่ผ่านมา ซึ่งศาลเมตตาให้ประกันตัวคนละ 20,000 บาท ส่วนอีกสำนวนผู้ต้องหา 1 คนคือนายยุทธนะ เตมะศิริ พนักงานสอบสวนมีความเห็นสั่งฟ้องและนัดส่งสำนวนและผู้ต้องหาให้อัยการในวันที่ 11 มิถุนายน 2561 ตามที่เสนอข่าวไปตามลำดับแล้วนั้น
(11 มิถุนายน 2561)ที่ ร.ต.อ.อรุณ กำลังเกื้อ รอง สวส.สภ.จุฬาภรณ์ จังนครศรีธรรมราช ได้นำสำนวนพร้อมนายยุทธนะ เตมะศิริ ผู้ต้องหาในคดีเดียวกันที่ผู้เสียหายเข้าแจ้งความเพิ่มเติมส่งเจ้าพนักงานอัยการศาลจังหวัดทุ่งสง เพื่อพิจารณาฟ้องศาลตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้นายยุทธนะ เป็นผู้รับเรื่องร้องทุกข์จากนายจรายพงศ์ ศักดิ์ศรี ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 2 ตำบล อำเภอจุฬาภรณ์ จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่นำชาวบ้านทั้งหมดเข้าร้องเรียนขอความเป็นธรรมกับศูนย์ข่าวนคร 24 ชม.สมาคมสื่อมวลชนนครศรีธรรมราช และแชร์ข่าวจากเพซบุ๊คของนายไพฑูรย์ อินทศิลา ประธานศูนย์ข่าว ฯ

ในขณะที่เมื่อ (10 มิถุนายน 2561)ร้านขายข้าวแกงและก๋วยเตี๋ยว “ป้านิ่ง” บริเวณบ้านปลายนา ริมถนนเอเชีย 41 ตำบลสามตำบล อำเภอจุฬาภรณ์ พลตรีอาคม พงศ์พรหม ผู้บัญชาการควบคุม มณฑลทหารบกที่ 41 ได้มอบหมายให้ พันเอกวชิรพงษ์ บุญรัตน์ หัวหน้ากองกิจการพลเรือนมณฑลทหารบกที่ 41 และคณะนายทหาร มณฑลทหารบกที่ 41 พร้อมกำลังทหาร กองบัญชาการควบคุม มณฑลทหารที่ 41 รวม 6 นาย เดินทางไปพบกับนายจรวยพงศ์ ผู้ใหญ่และชาวบ้านถูกแจ้งความดำเนินคดีทั้งหมด รวมทั้งนายไพฑูรย์ อินทศิลา ประธานศูนย์ข่าวนคร 24 ชม. พร้อมสื่อมวลชนที่ถูกแจ้งความอีก 2 คน เพื่อสอบสวนข้อเท็จจริงอย่างละเอียดและรวบรวมเอกสารหลักฐานเป็นรายบุคล
ในวันเดียวกันนายสุภัทร คชเชน ประธานสภาทนายความจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้นำทีมทนายความจากสภาทนายความจังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมด้วยทนายอาสา (ทนายขอแรง)ที่ศาลจังหวัดทุ่งสงจัดตั้งให้ช่วยว่าความสู้คดีให้กับชาวบ้านและสื่อมวลชนที่ตกเป็นจำเลยทั้งหมด เดินทางไปพบนายจรายพงศ์ และชาวบ้านที่ตกเป็นจำเลยเพื่อสอบสวนปากคำและรวบรวมเอกสาร พยานหลักฐานในการสู้คดีในชั้นศาล ซึ่งทั้งฝ่ายทหารและทนายความได้แยกกันสอบสวนปากชาวบ้านที่ตกเป็นจำเลยทุกคนอย่างละเอียด ท่ามกลางความดีใจของชาวบ้านที่มีฝ่ายทหารและสภาทนายความยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ
พันเอกวชิรพงษ์ บุญรัตน์ กล่าวว่า ทราบว่าเรื่องนี้ได้มีการรวมตัวไปร้องเรียนทางสำนักนายกรัฐมนตรีไว้หลายเดือนแล้ว และทางชาวบ้านเข้าใจว่าทางสำนักนายกรัฐมนตรีจะส่งเรื่องมาให้ กองบัญชาการควบคุมมณฑลทหารบกที่ 41 ดำเนินการช่วยเหลือในเรื่องนี้ทำให้การช่วยเหลือล่าช้าไประยะหนึ่ง แต่หลังจากที่ พลตรีอาคม พงศ์พรหม ผู้บัญชาการควบคุม มณฑลทหารบกที่ 41 ทราบเรื่องก็สั่งการให้นำคณะทหารลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว ซึ่งฝ่ายทหารจะทำการเก็บข้อมูลเบื้องต้นของชาวบ้านที่ถูกนายทุนห้องดำเนินคดีทุกคน จากการสอบสวนในรายละเอียดพบข้อเท็จจริงในหลายกรณี เช่น การยื่นฟ้องทางแพ่งเรียกค่าเสียหายเกินจริง ชาวบ้านยืมเงินกันแค่ไม่กี่พันบาทแต่โดนฟ้องเรียกค่าเสียหายตั้งแต่ 1-3 แสนบาท การปลอมแปลงลายเซ็นในเอกสารกู้เงิน การต่อเติมข้อความและจำนวนเงินในสัญญา การเรียกเงินอ้างช่วยเหลือวิ่งเต้นคดีต่าง ๆ ในส่วนของเจ้าหนี้มีหลายคนแต่ผู้ฟ้องซื้อสัญญามาแล้วให้เจ้าหนี้ตัวจริงเซ็นมอบอำนาจให้ผู้ฟ้องดำเนินการฟ้องเรียกค่าเสียหายเกินจริงหลายเท่าทุกราย และทราบข้อมูลว่ามีชาวบ้านที่ตกเป็นเหยื่อในลักษณะเดียวกันอีกหลายสิบราย
“ทางทหารคงจะเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ยในคดีแพ่ง เพราะแม้เรื่องจะอยู่ในชั้นศาล แต่เป็นคดีที่สามารถเจรจาตกลงยอมความกันได้ ซึ่งทาง ผู้บัญชาการควบคุม มณฑลทหารบกที่ 41 ได้นัดผู้ใหญ่บ้าน ชาวบ้านแลสื่อมวลชนที่ตกเป็นจำเลยทุกคนไปพบที่ห้องประชุม กองบัญชาการควบคุม มณฑลทหารบกที่ 41 ในวันที่ 25 มิถุนายน 2561 ณ กองบัญชาการควบคุมมณฑลทหารบกที่ 41 และจะทำหนังสือเชิญเป็นลายลักษณ์อักษรเชิญอดีตนายตำรวจซึ่งปัจจุบันเป็นทนายความและภรรยา ผู้รับมอบอำนาจมาฟ้องร้อง รวมทั้งเจ้าหน้าที่ตัวจริงทุกรายที่มอบอำนาจให้อดีตตำรวจและภรรยายื่นฟ้องชาวบ้านไปพบเพื่อเจรจาไกล่เกลี่ย โดยยังไม่แน่ใจว่าจะสามารถไกล่เกลี่ยตกลงกันได้หรือไม่อย่างไร แต่เรื่องเงินกุ้นอกระบบทางรัฐบาลและ คสช.มีนโยบายชัดเจนให้ทุกจังหวัดดำเนินการแก้ไขปัญหาให้เสร็จสิ้นภายใน 6 เดือน ซึ่งในเรื่องนี้นอกจากทาง กองบัญชาการควบคุมมณฑลทหารบกที่ 41 จะรายงานโดยตรงให้รัฐบาลและ คสช.ทราบแล้ว ทางศูนย์ดำรงธรรมทั้งระดับอำเภอ และจังหวัดจะต้องรายงานให้รัฐบาลและ คสช.ทราบโดยตรงเช่นกัน

ทางด้านนายสุภัทร คชเชน กล่าวว่า การช่วยเหลือในทางคดีแยกออกเป็นในส่วนของคดีแพ่ง และคดีอาญา ในส่วนของคดีแพ่งนั้นตนได้ตรวจสอบทุกคดีพบช่องทางในการต่อสู้คดีให้ชนะได้ไม่ยาก โดยเฉพาะกรณีสัญญาปลอมซึ่งจะมีกระบวนการพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้ไม่ยากนัก ส่วนคดีอาญาพบว่าชาวบ้านที่ถูกแจ้งความส่วนใหญ่เป็นผู้ร่วมลงชื่อร้องเรียนศูนย์ดำรงธรรมอำเภอจุฬาภรณ์ และมีการนำเอกสารรายงานเหตุการณ์ของ อำเภอจุฬาภรณ์ รายงานให้จังหวัดนครศรีธรรมราชทราบ เอกสารฉบับเดียวกันก็ถูกนำไปร้องเรียนศูนย์ข่าวนคร 24 ชม.สมาคมสื่อมวลชนจังหวัดนครศรีธรรมราชด้วย และในการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนไม่ได้ระบุชื่อบุคคลและหน่วยงานใด ๆ ความจริงพนักงานสอบสวนไม่น่าจะรับแจ้งความได้เสียด้วยซ้ำ การต่อสู้คดีทั้งทางแพ่งและอาญาไม่น่าจะมีปัญหา ซึ่งในกรณีการพิสูจน์สัญญาปลอมนั้น หากในที่สุดศาลตัดสินให้ชาวบ้านชนะคดี ต่อไปก็จะว่ากันในเรื่องความผิดคดีอาญาฐานปลอมแปลงเอกสารสัญญา ชาวบ้านจะกลับมาเป็นโจทก์แจ้งความหรือยื่นฟ้องดำเนินคดีตามขั้นตอนต่อไป โดยทางสภาทนายความจังหวัดนครศรีธรรมราช จะร่วมกับทนายอาสา หรือทนายขอแรงที่ศาลจังหวัดทุ่งสงจัดหาให้จัดตั้งทีมทนายขึ้นมาช่วยเหลือดูแลคดีนี้อย่างใกล้ชิดต่อไป

ประธานสภาทนายคามจังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวว่า อีกเรื่องที่สำคัญคือการร้องมารยาททนายความ ซึ่งเรื่องนี้ทางสภาทนายความแห่งประเทศไทยให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะมีทนายความบางคนสร้างความเสื่อมเสียให้กับองค์กร ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของทนายทั้งประเทศ ทางสภาทนายจะไม่เลี้ยงไว้อย่างแน่นอน จากการตรวจสอบพบว่าอดีตนายตำรวจสอบผ่านได้ตั๋วเป็นทนายว่าความได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่ทางสภาทนายพบว่าเขาไม่เคยว่าความด้วยตนเองแต่จะจ้างทนายคนอื่น ๆ ว่าความแทนตัวเอง และมีพฤติกรรมหาผลประโยชน์บนความเดือดร้อนของประชาชน สามารถเสนอให้ทางสภาทนายคามแห่งประเทศไทยพิจารณาถอดถอนจากการเป็นทนายความได้ ส่วนฝ่ายภรรยาของอดีตนายตำรวจทราบว่าสอบผ่านรอการพิจารณารับใบอนุญาตหรือรับตั๋วทนาย แต่ทางสภาทนายตรวจสอบพบคุณสมบัติขัดต่อระเบียบเนื่องจากภรรยาอดีตนายตำรวจท่านนี้ถูกฟ้องและศาลล้มละลายกลางสั่งให้เป็นบุคคลล้มละลาย เมื่อประกอบกับพฤติกรรมการเรียกรับเงินจากชาวบ้านวิ่งเต้นคดี การวิ่งเต้นฟ้องร้องชาวบ้านโดยทำตัวเป็นคู่ความเสียเองผิดมารยาททนายความอย่างชัดเจน ซึ่งการสอบสวนแค่คามปรากฏทางสภาทนายความดำเนินการถอดถอนและยับยั้งใบอนุญาตหรือตั๋วทนายได้ โดยมีความเป็นไปได้สูงมากที่สองสามีภรรยาจะถูกสภาทนายความแห่งประเทศไทยลงโทษตามระเบียบตั้งแต่โทษภาคทัณฑ์ ลบชื่อและพักใบอนุญาต โดยในปัจจุบันทนายความที่มีพฤติกรรมในลักษณะนี้มีเยอะ
ผลการประชุม ทั้งสองฝ่ายยังตกลงกันไม่ได้ ทางกองบัญชาการควบคุม มณฑลทหารบกที่ 41 จะเดินทางลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบอีกครั้งหนึ่งและจะหาข้อยุติต่อไปเพื่อแก้ไขปัญหาเงินกู้นอกระบบต่อไป…////

นักข่าวเดลินิวส์ ที่เข้าร่วมประชุมด้วย

เป็นผู้เขียน….

รณรงค์ปลุกจิตสำนึกรู้คุณแผ่นดิน (ขุนศึก 41)

12 มิ.ย.61 1330 พ.อ.สุรเทพ หนูแก้ว รอง ผบ.พล.ร.5(2) เป็นประธานการจัดกิจกรรมตามโครงการสร้างเสริมอุดมการณ์ความรักชาติ โดยวิทยากรรณรงค์ปลุกจิตสำนึกรู้คุณแผ่นดิน (ขุนศึก 41) โดย พล.ร.5 จัดการบรรยายประวัติศาสตร์ความเป็นมาของชาติไทย ความเสียสละ/กล้าหาญของบรรพบุรุษชาติไทย ในอดีตจนถึงปัจจุบัน และ สร้างเสริมความรักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ให้กับข้าราชการส่วนท้องถิ่น ผู้ใหญ้บ้าน กำนัน และปลัดอำเภอ ของอำเภอทุ่งสง จำนวน 250 คน ตามนโยบาย ทบ. และได้นำเสนอผลงานการปฏิรูปประเทศของ รัฐบาล ณ ที่ว่าการอำเภอทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช