อุดรธานี – รวมพลังรวบหนุ่มเมาคลั่งปีนป้ายศาลากลางอุดร ควบคุมตัวขึ้นรถตราโล่ยังยังไม่หยุดคลั่ง

To buy the replica watches online, please visit oldwatches.uk!

Excellent Swiss Movement AAA+ Omega Replica Watches With Low Prices For Men And Ladies. Special 1:1 Super Clone/Cheap Fake Omega Watches Hot Sale.

Looking for the best Replica Watches site 2024 in the world? Buy now High-Quality replica watches for the best price on replicaclone.is website.

cartier replica uk

พลังรวบหนุ่มเมาคลั่งปีนป้ายศาลากลางอุดรฯ ควบคุมตัวขึ้นรถตราโล่ยังไม่สิ้นฤทธิ์จะกระโดดลงมา

เมื่อเวลา 17.25 น.วันที่ 27 พฤษภาคม ร.ต.อ.วิฆเนศ ซื่อตรง รอง สวป.สภ.เมืองอุดรธานี ได้รับแจ้งจากกองร้อยรักษาดินแดน (อส.) ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ในศาลากลางจังหวัดอุดรธานี ว่ามีเหตุชายคุ้มคลั่งอาละวาดปีนขึ้นไปบนป้ายศาลากลางจังหวัด ริมรั้วตรงข้ามที่ว่าการอำเภอเมืองอุดรธานี บริเวณ 4 แยกถนนมุขมนตรีตัดกับถนนอธิบดี เบื้องต้นสามารถควบคุมตัวเอาไว้ได้ แต่ได้ทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ อส. หลังจากได้รับแจ้งจึงรีบรุดไปที่เกิดเหตุพร้อมด้วยสายตรวจ 191 และอาสากู้ภัยมูลนิธิอุดรสว่างเมธาธรรมสถาน

ในที่เกิดเหตุเจ้าหน้าที่ได้ช่วยกันควบคุมตัวนายอนุวัฒน์ แจ้งสนาม อายุ 19 ปี อยู่บ้านเลขที่ 55 ม.9 ต.เขาสวนกวาง อ.เขาสวนกวาง จ.ขอนแก่น ใส่เสื้อรักแม่สีฟ้า โดยมีการขัดขืนไม่ยินยอมให้จับกุมแต่โดยดี หลังถูกใส่กุญแจมือ ยังพยายามจะทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ด้วยการถีบ พร้อมตะโกนท้าทายชกต่อยกับทุกคนที่อยู่ใกล้แม้แต่ผู้สื่อข่าว บอกเพียงว่า “ตนกินเหล้าขาวไป 2 ขวดใหญ่ เดินตามทางมาก็มีแต่คนดูถูกเหยียดหยาม” เจ้าหน้าที่ต้องเร่งนำตัวขึ้นท้ายรถกระบะตราโล่ไปที่ สภ.เมืองอุดรธานี ด้วยความโกลาหล นำตัวขึ้นรถตราโล่ยังไม่สิ้นฤทธิ์ ก็ยังจะกระโดดลงมาจากรถ

นายยุทธศักดิ์ ชมสะนัด อายุ 27 ปี อส.กองร้อยรักษาดินแดนที่ 1 อุดรธานี กล่าวว่า ขณะที่ตนกำลังขี่รถ จยย.ตรวจความเรียบร้อยรอบศาลากลาง เมื่อมาถึงฝั่งตรงข้ามที่การอำเภอเมือง ได้เห็นชายคนก่อเหตุปีนโวยวายอยู่บนป้ายศาลากลางแล้วกระโดดลงมา ตนจึงจอดรถ จยย.เดินเข้าไปสอบถาม แต่เขาก็ได้กระโดดถีบแผงกันจราจรที่วางซ้อนกันอยู่บนฟุตบาธจำนวน 3 แผง แล้วพยายามจะเดินข้ามถนนไปฝั่งที่ว่าการอำเภอ

“เมื่อเขาไปถึงกลางถนน รองเท้าแตะเขาหลุด และมีบาดแผลจากการกระโดดถีบแผง มีเลือดไหล เขาจะเดินย้อนกลับมาฝั่งเดิมแล้วตะโกนโวยวายอีกครั้ง จากลักษณะอาการชายคนนี้เมายาเสพติดแน่นอน สอบถามก็ไม่รู้ความ เอะอะโวยวายอย่างเดียว ซ้ำยังมีการทำร้ายเจ้าหน้าที่ ด้วยการถีบและต่อย จึงเข้าจับกุมด้วยยุทธวิธีที่ฝึกซ้อมมา จับใจความที่เขาโวยวายได้ว่า ไม่มีใครรักเขา และเขาจะฆ่าตัวตาย

หลังจากตำรวจนำตัวนายอนุวัฒน์ฯ ไปที่ชุดปฏิบัติการณ์ 191 สภ.เมืองอุดรธานี ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะสงบลง ยังคงเอะอะโวยวายอยู่ตลอดเวลา ผู้สื่อข่าวสอบถามจับใจความได้ว่า “มาจากขอนแก่น มาทำงานกับญาติ ที่ อ.บุ่งคล้า จ.บึงกาฬ รับจ้างตัดหญ้าในสวนยาง ทำงาน 3 อาทิตย์ได้เงินเพียง 500 บาท ตนจะข้ามฝั่งไปฆ่าคน คนหนึ่ง ให้จำคำพูดของตนไว้” เบื้องต้นเจ้าหน้าที่จะควบคุมตัวนายอนุวัฒน์ฯ ไว้ที่สภ.เมืองอุดรธานี เพื่อสงบสติอารมณ์ ซึ่งจะได้ทำการตรวจปัสสาวะหาสารเสพติดอีกครั้ง เพื่อรอดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

ขอนแก่น – แม่หนีจากความคลั่งของลูกชาย กว่า 6 ปี หลังจากลูกชายติดยางอมแงม พอเข้าอีกทีต้องตลึง พบกับ “ศิลปะ 5 เม็ด” เต็มห้อง

Buy now perfect duplicate branded automatic swiss watches for the best price on Perfect Watches website.Worldwide shipping available.

Check out our replica Rolex Submariner high-end watches on replicarolex.sr. Find your favorite model in our catalog.

Best fake rolex watches UK online store of 2024.

แม่หนีจากความคลั่งของลูกชาย กว่า 6 ปี หลังจากลูกชายติดยางอมแงม พอเข้าอีกทีต้องตลึง พบกับศิลปะ 5 เม็ด เต็มห้อง เมื่อวันที่ 3 พ.ค.67 นายกรชวาลวิชญ์ ชัยพีรวัส นายอำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น เปิดเผยว่า ได้รับข้อเรื่องจากนางทองอินทร์ ชัยสวรรค์ ราษฎรบ้านนาคำน้อย ม.1 ต.บัวใหญ่ อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น ว่าลูกตกเป็นทาสยาบ้ามานานหลายปี จนตนเองต้องย้ายออกจากบ้านมาเช่าบ้านอยู่ข้างนอกเป็นเวลากว่า 6 ปี เพราะเกรงว่าลูกจะทำร้ายร่างกาย จึงร้องทุกข์มายังนายอำเภอน้ำพองให้นำลูกเข้าสู่กระบวนการบำบัด จะได้ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านของตนเอง

ต่อมานายอำเภอน้ำพอง จึงได้สั่งการให้ ปลัดอำเภอและสมาชิก อส. ไปนำตัว นายศุภรักษ์ ชัยสวรรค์ ซึ่งเป็นลูกชายของนางทองอินทร์ เข้าสู่กระบวนการบำบัดทางการแพทย์ ณ โรงพยาบาลน้ำพอง ก่อนจะนำเข้าสู่ CI บ้านนายอำเภอห่วงใย อำเภอน้ำพอง เพื่อดูแลช่วยเหลือในส่วนที่เกี่ยวข้อง พร้อมกับเดินทางพานางทองอินทร์ เข้าไปภายในตัวบ้าน ทำให้ต้องถึงกับตกตะลึง

นายอำเภอน้ำพองเผยว่า จากการเข้าไปดูในตัวบ้าน ซึ่งเป็นบ้านครึ่งปูน ครึ่งไม้ 2 ชั้น เมื่อเปิดประตูเข้าไป ภาพที่เห็นต่อหน้า เป็นภาพเขียนงานศิลปะหลากจินตนาการ ของนายศุภรักษ์ ถูกเขียนตามผนังทุกมุมบ้าน ไม่เว้นแม้แต่ห้องครัว ห้องน้ำ ห้องรับแขก เขียนแม้กระทั่งกำแพงรั้วบ้าน ซึ่งภาพส่วนใหญ่จะเป็นแอร์บัส ที่เขียนขึ้นจากความรู้สึก หลังจากได้เสพยาแล้ว ซึ่งแต่ละภาพ ถ้าหากว่าอาจารย์เฉลิมชัย ได้มาเห็นจะต้องหาชื่อภาพให้อย่างเวียนหัวแน่นอน

บึงกาฬ – ผวจ.บึงกาฬ สั่งกวาดล้างบุหรี่ไฟฟ้า – น้ำกระท่อม

เมื่อเวลา 08.30น.วันที่ 22 เม.ย.67 นายจุมพฏ วรรณฉัตรศิริ ผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬ ได้รับการร้องเรียนว่ามีการขายน้ำกระท่อม/บุหรี่ไฟฟ้าในอำเภอเซกา.จ.บึงกาฬ จึงสั่งการให้ นายนคร ศิริปริญญานันท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬ พล.ต.ต.วิญญู อำนวยสมบัติ ผบก.ภ.จว.บึงกาฬ นายจักรพงศ์ พันธุ์เพ็ง นายอำเภอเซกา พ.ต.อ.พิชิต คงพิทักษ์ ผกก.สภ.เซกา พ.ต.ท.อดุลย์ ฉิมทับ รอง ผกก.เซกา พร้อมด้วยสาธารณสุขอำเภอเซกา เจ้าหน้าที่ปกครอง เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เซกา และสมาชิกกองอาสารักษาดินแดนอำเภอเซกาที่ 4 ลงพื้นที่ตรวจสอบ จนท.ลงพื้นที่ปิดล้อมตรวจค้นร้านกานดาการค้า ตั้งอยู่เลขที่ 176 หมู่ที่ 11 ต.เซกา อ.เซกา จ.บึงกาฬ พบผู้กระทำความผิดพร้อมของกลาง นายคมสันต์ พรหมพิมพ์ อายุ 22 ปี บ้านเลขที่ 176 ม.11 ต.เซกา อ.เซกา จ.บึงกาฬ

พบน้ำกระท่องบรรจุขวด ขนาด 1.5 ลิตร จำนวน 5 ขวด/ยาแก้ไอ จำนวน 1 ขวด/ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ตรามิว จำนวน 109 ขวด/เครื่องบุหรี่ไฟฟ้า Pod ชนิดใช้ทิ้ง จำนวน 296 เครื่อง/เครื่องบุหรี่ไฟฟ้า Pod ชนิดเปลี่ยนหัว จำนวน 11 เครื่อง/หัวบุหรี่ไฟฟ้า Pod ชนิดแบบใช้แล้วทิ้ง จำนวน 315 หัว ผู้ต้องหา ให้การรับสารภาพว่า น้ำต้มพืชใบกระท่อม จำนวน 5 ขวด ที่อยู่ในตู้แช่เย็นเป็นของตนเองจริง โดยได้แซ่ไว้จำหน่ายให้กับลูกค้านราคาชวคละ100 บาท ส่วนยาแก้ไอ และ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร นั้นผู้ต้องหาเอามาไว้ผสมกับน้ำมพืชใบกระท่อมไว้จำหน่าย ส่วนเครื่องบุหรี่ไฟฟ้า ซื้อมาไว้เพื่อจำหน่าย ในราคาเครื่องละ 300 บาท

และได้เข้าปิดล้อมตรวจค้นร้าน VRPE SHOP ตั้งอยู่บ้านเลขที่ 320/4 ม. 10 บ.เซกาใต้ ต.เซกา อ.เซกา จ.บึงกาฬ พบผู้กระทำความผิดพร้อมของกลาง นายภาคิน (นามสมมติ)อายุ 16 ปี บ้านเลขที่ 14 ม.13 ต.ชุมช้าง อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย ตรวจสอบพบเครื่องบุหรี่ไฟฟ้า Pod ชนิดใช้ทิ้ง จำนวน 315 เครื่อง/เครื่องบุหรี่ไฟฟ้า Pod ชนิดแบบเปลี่ยนหัว จำนวน 40 เครื่อง/หัวบุหรี่ไฟฟ้า Pod ชนิดแบบใช้แล้วทิ้ง จำนวน 813 หัว/น้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า ชนิดแบบเติม จำนวน 84 ขวด/ อุปกรณ์เสริม จำนวน 28 ชนิด

จึงได้แจ้งข้อหาะข้อกล่าวหา ฝ่าผิน พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ.2522 ตามมาตรา 50 ผู้ใดฝ่าฝืนประกาศซึ่งออกตามมาตรา กำหนดอาหารที่ห้ามผลิต นำเข้าหรือจำหน่าย ฝ่าผินประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 242 ที่ออกตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ.๒๕๒๒ เรื่องกำหนดอาหารที่ห้ามผลิต นำเข้าบัญชีรายชื่อลำคับที่ 50 พืชกระท่อม ช่วยซ่อนเรัน ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อรับจำนำ หรือรับไว้ด้วยประการใค ซึ่งของอันตนพึงรู้ว่าเป็นของที่ยังมิได้เสียภาษี หรือของต้องห้าม หรือที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยยังมีได้ผ่านศุลกากรโดยถูกต้อง หรือเป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากร พรบ.ศุลกากร พ.ศ.2560 ตามมาตรา 246 จึงได้นำผู้กระทำความผิดพร้อมของกลางนำส่งเจ้าพนักงานสอบสวน สภ.เซกา ดำเนินคดีต่อไป

ปวิณชัย บุญพิเชฐ บึงกาฬ

อุดรธานี-สนธิกำลังทั้งฝ่ายปกครอง ตำรวจ ทหาร ไล่ล่าเด็ดปีกนักค้าอีสานเหนือ รวบ 75 ผู้ค้าของกลางกว่า 24 ล้าน

อุดรสนธิกำลังทั้งฝ่ายปกครอง ตำรวจ ทหาร ไล่ล่าเด็ดปีกนักค้าอีสานเหนือ รวบ 75 ผู้ค้าของกลางกว่า 24 ล้าน

วันที่ 30 มกราคม ที่ห้องประชุมกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุดรธานี นายวันชัย คงเกษม ผวจ.อุดรธานี พล.ต.ต.สรรธาน อินทรจักร ผบก.ภ.จ.อุดรธานี กอ.รมน.อุดรธานี ตำรวจท่องเที่ยว ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ตำรวจทางหลวง ตำรวจสันติบาล ตำรวจพิสูจน์หลักฐาน กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี สถานีตำรวจ 23 สถานี ทุกหน่วยงานในสังกัด ร่วมกันแถลงข่าวผลการปิดล้อมตรวจค้นยาเสพติด ภายใต้โครงการ ยุทธการไล่ล่านักค้าอีสานเหนือ 252 “NO Place For Drug” โดยได้ออกหมายจับ หมายค้น ปิดล้อมตรวจค้น ยึด อายัดทรัพย์สิน ของนักค้ายาเสพติดและเพื่อค้นหาพยานหลักฐาน เพื่อขยายผลเครือข่ายยาเสพติดในพื้นที่ จ.อุดรธานี

พร้อมผู้ต้องหายาเสพติด 75 คน 75 คดี ของกลาง ยาบ้า 313,022 เม็ด ยึดเงินสด 148,971 บาท อาวุธปืน 15 กระบอก มูลค่า 322,525 บาท ยึดสิ่งปลูกสร้างพร้อมที่ดิน 7 ราย มูลค่า 8,677,500 บาท ยึดทองรูปพรรณ มูลค่า 229,000 บาท ยึดรถยนต์ 21 คัน มูลค่า 12,080,000 ยึดรถจักรยานยนต์ 54 คัน 3,192,000 บาท ยึดโทรศัพท์มือถือ แท็ปเล็ต 18 เครื่อง มูลค่า 160,350 บาท รวมทรัพย์สินทั้งสิ้น 124 รายการ มูลค่า 24,810,346 บาท โดยปฏิบัติการไล่ล่าเด็ดปีกนักค้าอีสานเหนือ ในเวลา 06.00 น.วันที่ 26-29 มกราคม ได้ปล่อยแถวระดมกวาดล้าง หน้ากองบังคับการตำรวจภูธร จ.อุดรธานี ก่อนเข้าจับกุมกลุ่มเป้าหมาย

นายวันชัย คงเกษม กล่าวว่า ครั้งนี้เป็นการบูรณาร่วมกันระหว่าง ปกครอง ตำรวจ ทหาร ในชื่อภารกิจ ยุทธการไล่ล่านักค้าอีสานเหนือ 252 “NO Place For Drug” โดยมีนิยามว่า ไม่มีที่ยืนให้นักค้าเสพติดและชุมชนปลอดยาเสพติด ซึ่ง จ.อุดรธานี มีการปฏิบัติงานเริ่มจาก สำรวจปัญหาพื้นที่เป้าหมาย เข้าพบประสานงานผู้นำหมู่บ้าน เข้าไปควบคุมพื้น ตรึงพื้น เอกซเรย์พื้นที่ และมีการทำลายโครงสร้าง โดยการปฏิบัติการเชิงรุก ตัดวงจรปัจจัยเสี่ยง ต่อไปเป็นการชำระ สะสาง ติดตามจับกุมนักค้า หยุดยั้งพฤติกรรม และตามยึดทรัพย์ สุดท้ายคือการสร้างพลังชุมชน พบปะเยี่ยมเยือน และแสวงหาความร่วมมือ วันนี้จึงได้มาแถลงผลการจับกุม

พล.ต.ต.สรรธาน อินทรจักร กล่าวว่า การปฏิบัติการไล่ล่านักค้าอีสานเหนือ ซึ่งเป็นนโยบายของรัฐบาล เริ่มปฏิบัติการตั้งแต่ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2566-30 มกราคม 2567 จังหวัดอุดรธานี ได้สนธิกำลังทั้ง ปกครอง ตำรวจ ทหาร สามารถจับกุมผู้ค้ายาเสพติดได้ 75 ราย ขยายผลยึดทรัพย์ รวมมูลค่า 24 ล้านบาท คดีที่จับกุมยาเสพติดได้มากที่สุด คือ สภ.ประจักษ์ศิลปาคม จับกุมได้ยาบ้า 3 แสนกว่าเม็ด ได้ผู้ต้องหา 2 คน และคดีที่น่าสนใจที่สุดคือปาร์ตี้ยาในพลูวิลล่า ในเขตเมืองอุดรธานี ซึ่งตำรวจสืบสวน สภ.เมืองอุดรธานี ได้จับกุมกลุ่มปาร์ตี้ยาได้ 23 คน แยกเป็นผู้ค้า 3 คน ซึ่ง 1 ใน 3 ของผู้ค้าอายุ 18 ปี ผู้เสพ 20 คน การจับกุมครั้งนี้ทำให้เรารู้ว่ายาเสพติดมาแบบไหน จะได้สืบสวนปราบปรามและขยายผลต่อไป

“ตำรวจยึดของกลาง Happy Water” จำนวน 46 ซอง น้ำหนัก 1408 กรัม ซึ่ง Happy water เป็นยาเสพติดที่มีส่วนผสมของ เคตามีน ไอซ์ ยาอี เมทแอมเฟตามีน ออกฤทธิ์ร้ายแรง กลุ่มวัยรุ่นเรียกว่ากินโปร หากเสพเกินขนาดทำให้เสียชีวิตได้ นอกจากนี้ยังพบ ยาเค 104.25 กรัม ยาอี 8 เม็ด รวมมูลค่า 253,964 บาท ซึ่ง Happy water เข้ามาระบาดในกลุ่มวัยรุ่น จ.อุดรธานี โดยนำเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้าน จึงจำเป็นต้องนำตัวอย่างของ “ Happy Water” ไปให้ไปให้ตำรวจผู้ปฏิบัติในแต่ละสถานีตำรวจดู เมื่อเข้าตรวจค้นสถานบริการ จะได้ทราบว่าเป็นยาเสพติดแบบใหม่”

ที่มา : https://www.esandailyonline.com/

กาฬสินธุ์ -เปิดปฏิบัติการไล่ล่าเด็ดปีกนักค้ายาเสพติดอีสานเหนือ

ตำรวจภูธรจังหวัดกาฬสินธุ์ร่วมกับฝ่ายปกครอง และฝ่ายความมั่นคง เปิดปฏิบัติการไล่ล่าเด็ดปีกนักค้าอีสานเหนือ 252 พุ่งเป้าหมายพ่อค้ายาบ้าที่ศาลออกหมายจับ ขณะที่ผู้ว่าฯกาฬสินธุ์ประกาศลั่นจับผู้ค้ายาได้พร้อมขยายผลยึดทรัพย์ให้ตกเป็นของแผ่นดินทันที

เมื่อวันที่ 29 ม.ค. 2567 เวลา 05.00 น.ที่ลานเอนกประสงค์หน้าสำนักงานตำรวจภูธร จ.กาฬสินธุ์ นายสนั่น พงษ์อักษร ผวจ.กาฬสินธุ์ พล.ต.ต.ตรีวิทย์ ศรีประภา ผบก.ภ.จว.กาฬสินธุ์ พ.อ.นิสิต สมานมิตร รองผอ.รมน.กาฬสินธุ์ นายผดุงศักดิ์ อิ่มเอิบ ปลัด จ.กาฬสินธุ์ พ.ต.อ.อิทธิเดช สุนทร ผกก.สภ.เมืองกาฬสินธุ์ นายประสงค์ จันทร์กระจ่าง ป้องกัน จ.กาฬสินธุ์ ร่วมกันเปิดปฏิบัติการไล่ล่า (เด็ดปีก) นักค้าอีสานเหนือ 252 “No place for drug” (NPD.P4)

โดยมีเจ้าหน้าที่สาธารณสุข จ.กาฬสินธุ์ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองกาฬสินธุ์ สภ.ยางตลาด อาสาสมัครรักษาดินแดน เจ้าหน้าที่ อพปร. เทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ ร่วมปล่อยแถวระดมกวาดล้างตามนโยบายตำรวจภูธรภาค 4 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และนโยบายของรัฐบาล ที่ได้ประกาศลดปัญหายาเสพติดภายในระยะเวลา 1 ปี เพื่อเป็นการลดความเดือดร้อนของประชาชน โดยพุ่งเป้าไปที่ผู้ผลิตและผู้ค้าเป็นหลัก ซึ่ง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร.เน้นย้ำการแก้ไขปัญหายาเสพติดในทุกมิติอย่างเป็นระบบมีการปราบปรามผู้ผลิตและผู้ค้ายาโดยใช้มาตรการทางกฎหมายอย่างจริงจังและเด็ดขาดขยายผลยึดทรัพย์เพื่อตัดวงจรยาเสพติด

พล.ต.ต.ตรีวิทย์ ศรีประภา ผบก.ภ.จว.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า ตำรวจภูธรจังหวัดกาฬสินธุ์ได้ขอศาลอนุมัติออกหมายจับผู้ต้องที่เกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติดประมาณ 50 ราย ตั้งแต่ออกหมายจับผู้ค้ายาเสพติดและมีการขยายผล เจ้าหน้าที่ได้ทำการจับกุม เพื่อสืบหาผู้ค้ารายใหญ่ ซึ่งได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ในขณะนี้เหลือผู้ต้องหาที่ศาลได้ออกหมายจับ 33 คน และวันนี้ได้เปิดปฏิบัติการไล่ล่า (เด็ดปีก) นักค้าอีสานเหนือ 252 “No place for drug” (NPD.P4) ในส่วนการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องเน้นที่พยานหลักฐานเป็นหลัก เพราะยาเสพติดเป็นปัญหาร้ายแรงของชาติ ผู้ค้าหรือผู้เสพถ้า หากคิดได้ก็อยากให้เลิกยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด แต่หากไม่เลิก และหากตำรวจทำการจับกุมมีพยานหลักฐานที่ชัดเจน พร้อมออกหมายจับ ยึดทรัพย์ทุกราย และจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุดเท่าที่ความสามารถจะทำได้

ด้านนายสนั่น พงษ์อักษร ผวจ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า การเปิดปฏิบัติการไล่ล่า (เด็ดปีก) นักค้าอีสานเหนือ 252 “No place for drug” (NPD.P4)เป็นไปตามตามนโยบายตำรวจภูธรภาค 4 และรัฐบาลที่มุ่งหวังที่จะจัดการกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ผู้ค้าและผู้เสพในรายที่สำคัญในพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งขณะนี้มีข้อมูลไว้เบื้องต้นแล้ว ส่วนเป้าหมายในการดำเนินการ 33 – 34 เป้าหมายด้วยกัน ในการปล่อยแถวมีกำลังพลของตำรวจ ฝ่ายปกครอง ฝ่ายทหาร อปพร. สาธารณสุข เพื่อเข้าไปตรวจสอบ หลังจากมีการออกหมายจับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จะจัดการกับกลุ่มนักค้าทั้งรายใหญ่และรายย่อย ซึ่ง จ.กาฬสินธุ์ยืนยันว่าจะดำเนินการเข้มข้นโดยการนำของ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด ที่เข้มแข็งสามารถดำเนินการจับกุมนำมาดำเนินคดีผู้ค้ารายย่อยและรายใหญ่ ขยายผลติดตามพร้อมยึดทรัพย์ เราได้ดำเนินการตามยุทธการฟ้าแดดสงยางมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมมีความเข้มข้นครอบคลุมทั้งพื้นที่ 18 อำเภอของ จ.กาฬสินธุ์ต่อไป

อุดรธานี – “พ่อเลี้ยงเดี่ยว” วิ่งราวต้นกฐินร้านส้มตำ อ้างหาเงินซื้อนมให้ลูก

ตำรวจอุดร ตามจับโจรบาปวิ่งราวต้นกฐินแม่ค้าส้มตำ ร่ำไห้ยกมือไหว้ขอโทษสังคมอ้างตกงานนำไปซื้อนมลูก

พ.ต.ท.บรรจง พาโคตร สว.สส.สภ.เมืองอุดรธานี ร.ต.อ.บรรเทิง ทัพโยธา รอง สว.สส.ฯ พร้อมด้วยชุดสืบสวน เข้าจับกุมนายวรวิทย์ คุณทวี หรือโดโด้ อายุ 27 ปี บ้านเลขที่ 404 ม.1 บ้านสามพร้าว ต.สามพร้าว อ.เมืองอุดรธานี ที่หน้าบ้านพัก พร้อมด้วยของกลางรถ จักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นเวฟ 110 ไอ สีแดง ทะเบียน 1กฮ 149 อุดรธานี ที่ใช้ก่อเหตุ และหลักฐานจากภาพจากกล้องวงจรปิด บริเวณหน้าบ้านเรือนประชาชน ในชุมชนหนองเหล็ก และกล้องวงจรปิดของเทศบาลนครอุดรธานี ที่สามารถบันทึกตำหนิรูปพรรณคนร้าย และยานพาหนะได้อย่างชัดเจน ขณะขี่รถหลบหนี ควบคุมตัวมาสอบสวนที่ สภ.เมืองอุดรธานี

การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องมาจากเมื่อเวลา 17.20 น.วันที่ 14 พ.ย.2566 พ.ต.ต.วัฒพงษ์ จำนงอุดม สว.(สอบสวน) สภ.เมืองอุดรธานี ได้รับแจ้งว่ามีคนร้ายใช้รถ จักรยานยนต์วิ่งราวต้นกฐินสามัคคีที่เพิงขายส้มตำและไก่ปิ้งของ น.ส.เนาวรัตน์ ศักรบุตร อายุ 41 ปี ตั้งอยู่ริมถนนในซอยหนองเหล็ก ตรงข้ามแฟลตตำรวจรถไฟ ชุมชนหนองเหล็ก เขตเทศบาลนครอุดรธานี ไปต่อหน้าต่อตา น.ส.เนาวรัตน์ ขณะที่กำลังขายส้มตำให้ลูกค้าอยู่ แล้วคนร้ายขับรถหลบหนีไปพร้อมต้นกฐิน และต่อมา ตำรวจก็ออกสืบสวนติดตามตัวคนร้าย จนได้สืบทราบคนร้ายรายนี้คือนายวรวิทย์ ดังกล่าว จึงได้เข้าทำการจับกุมได้ในตอนกลางดึกที่บ้านพักดังกล่าว

จากการสอบสวน นายวรวิทย์ หรือโดโด้ ให้การรับสารภาพทั้งน้ำตาว่า เป็นคนก่อเหตุจริง เพราะจำนนด้วยหลักฐาน และให้การต่อไปว่าปัจจุบันตนมีอาชีพรับจ้างทั่วไป และตกงานมา 4-5 เดือน เพราะลาออกจากงานโรงผลิตน้ำดื่มในพื้นที่ อ.พิบูลย์รักษ์ จ.อุดรธานี มาทำงานก่อสร้าง แต่ช่วงนี้ไม่มีงาน ที่ตนทำไปในครั้งนี้เนื่องจากตนไม่มีเงินซื้อข้าวสาร และนมข้นให้ลูกชาย 2 คน ที่อายุ 4 ขวบ และ 5 ขวบ ซึ่งเป็นลูกติดภรรยา แต่ตนเลี้ยงมาตั้งแต่ยังแบเบาะ และรักเขาเหมือนลูกในไส้

นายวรวิทย์ ให้การสารภาพอีกว่า ก่อนก่อเหตุได้ขับรถ จักรยานยนต์ของแม่ยาย ออกมาจากบ้าน เข้ามาในตัวเมืองอุดรธานี เห็นต้นเงินกฐินของแม่ค้าส้มตำ จึงอยากได้ และก่อเหตุอุ้มต้นเงินกฐิน ซิ่งรถหลบหนี ไปขึ้นสะพานข้ามคลองเลียบทางรถไฟ ท้ายซอยหนองเหล็ก 4 และไปถอดและแกะเอาเงินต้นกฐิน นับได้ 280 บาท มีธนบัตร 100 บาท 1 ใบ นอกนั้นเป็นธนบัตร 20 บาท ก่อนถึงโรงเรียนอุดรบอสโกวิทยา ที่ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 3 กิโลเมตร ก่อนมาถูกตำรวจตามมาจับกุมตัวที่บ้าน หลังกลับจากรับจ้างเกี่ยวข้าว

“ตนไม่อยากทำเลย แต่ที่บ้านไม่มีขาวสารหุงและนึ่งกินเลยสักเม็ดเดียว และอยากขอโทษผู้เสียหาย และสังคมผ่านสื่อ และขอชดใช้กรรมในสิ่งที่ตนเองก่อเอาไว้ รู้ว่ามันเป็นบาปกรรมหนัก ที่ไปขโมยต้นเงินกฐิน และวันนี้ตนไปรับจ้างเกี่ยวข้าวได้เงินมา 400 บาท นำไปซื้อข้าวสาร และนมข้นให้ลูกชายทั้ง 2 คนได้กิน และนำไปซื้อยาบ้าจากวัยรุ่นในหมู่บ้าน 1 เม็ด ราคา 40 บาท มาเสพ และติดเสพมาตั้งแต่เรียนอยู่ชั้น ม.3 เคนถูกจับเสพมา 2 ครั้ง ปัจจุบันนานๆจะเสพสักครั้ง เพื่อแก้เหนื่อย หากมีเงินซื้อมากก็จะเสพมากเป็นธรรมดา และเมื่อพ้นโทษออกมาตนขอสัญญาว่า จะเลิกเสพยา และไม่ก่อเหตุแบบนี้แล้ว

เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้นำตัวนายวรวิทย์ ไปทำการตรวจปัสสาวะพบมีผลเป็นบวก จากการเสพยาเสพติด ตำรวจจึงแจ้งข้อกล่าวหาว่า “ลักทรัพย์ผู้อื่น โดยใช้ยานพาหนะในการพาทรัพย์นั้นหลบหนี และเสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) โดยผิดกฎหมาย” ควบคุมตัว ส่ง พ.ต.ต.วัฒพงศ์ จำนงอุดม สว.สอบสวน เจ้าของคดีนำไปดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ที่มา: https://www.esandailyonline.com/

อุบลราชธานี – จับอดีตรองนายก อบต.เครือข่าย “ท้าวฟ้าใส” พ่อค้ายานรกรายใหญ่ชาวลาว

ตร.ทหาร อุบลฯจับอดีตรองนายก อบต.นาแวง เครือข่าย “ท้าวฟ้าใส” พ่อค้ายานรกรายใหญ่ชาวลาวขนยาไอซ์ น้ำหนัก 299 กก. มูลค่า 299 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ต.อ.ชาญชัย อินนรา ผกก.สส.ภ.จ.อุบลราชธานี นำเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน ภาค 3 ,ป.ป.ส.ภาค 3 .เจ้าหน้าที่ กอง 12 สปข.ศรภ และ ตร.สภ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานีนำหมายจับศาลจังหวัดอุบลราชธานีที่ จ.354/2566 ลงวันที่ 15 พ.ย.2566 เข้าจับกุมนายโกศล สีพรมมา อายุ 56 ปี อดีตรองนายก อบต.นาแวง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี ได้ที่บ้านเลขที่ 91 หมู่ที่ 5 ต.นาแวง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี แจ้งข้อหา ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 โดยการมีไว้เพื่อจำหน่ายอันลักษณะเป็นการกระทำเพื่อการค้าก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชนและเป็นการกระทำที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือปลอดภัยของประชาชนทั่วไป สมคบกันโดยตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดและได้มีการกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันและฟอกเงิน

สืบเนื่องจากเมื่อเวลาประมาณ 23.00 น.วันที่ 23 ธันวาคม 2564 เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ได้รับแจ้งจากสายลับว่า จะมีกลุ่มผู้ค้ายาเสพติดชาวลาว จะลักลอบส่งยาเสพติดที่บริเวณพื้นที่ ต.นาแวง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี เจ้าหน้าที่จึงสนธิกำลังเข้าตรวจสอบที่บริเวณริมถนนสายบ้านนาสะอาด-บ้านถ้ำตาลาว พบรถกระบะต้องสงสัย ยี่ห้อเชฟโรเลต สีขาว ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน วิ่งผ่านมา เจ้าหน้าที่จึงส่งสัญญาณเพื่อขอตรวจค้น ซึ่งมีชายฉกรรจ์ 2 คน นั่งมาในรถรู้ว่าเป็นเจ้าหน้าที่ จึงได้จอดรถทิ้งแล้ววิ่งหลบหนีเข้าป่าข้างทางหลบหนีไปได้ ซึ่งเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจค้นด้านหลังรถกระบะพบไอซ์ 9 กระสอบและในตัวรถ 1 กระสอบ รวมทั้งหมด 299 กก. มูลค่า 299 ล้านบาท จึงได้ทำการตรวจยึดนำของกลางส่งพนักงานสอบสวน สภ.เขมราฐ ดำเนินคดี

จากการสืบสวนขยายผล ทราบว่า ยาเสพติดดังกล่าวเป็นของกลุ่มท้าวฟ้าใส ไชยสิงห์ ราษฎรบ้านนาโค เมืองสองคอน แขวงสะหวันนะเขต สปป.ลาว โดยมีนายโกศล สีพรมมา อายุ 56 ปี รองนายก อบต.นาแวง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานีเป็นผู้ติดต่อประสานงานกับเครือข่ายยาเสพติดกลุ่มท้าวฟ้าใส เพื่อลักลอบลำเลียงยาเสพติดเข้ามายังฝั่งไทย เจ้าหน้าที่จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขอศาลออกหมายจับดังกล่าว

ที่มา : https://www.esandailyonline.com/

เลย – รวมพลังฝ่ายความมั่นคง ล่าสุด จับยาไอซ์ 290 ก.ก.ค่า 58 ล้านบาท

ที่ สภ.เชียงคาน อ.เชียงคาน จ.เลย นายทวี เสริมภักดีกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย พร้อมด้วย พลตรี นรธิป โพยนอก ผู้บัญชาการกองกำลังสุรศักดิ์มนตรี พร้อม พล.ต.ต.สุรชัย สังขพัฒน์. ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเลย ผู้แทน ปปส.ภาค 4 นายอภินันท์ สุวรรณโค นายอำเภอเชียงคาน พ.ต.อ.ยุทธวัฒน์ โชคชัย รอง ผบ.ก.ภ.จว.เลย ผู้แทน นรข. ตชด.246 ทหารพราน 21 ร่วมกันแถลงจับกุมข้อมูลการแถลงข่าว กรณีการจับกุมผู้ต้องหา จำนวน 2 ราย พร้อมของกลาง ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือยาไอซ์) จำนวน 290 กิโลกรัม เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2566 เวลา 20.20 น.ที่บริเวณณนริมแม่น้ำเหืองสายเชียงคาน – ท่าลี่ พื้นที่บ้านนาจาน หมู่ ที่ 1 ต.ปากตม อ.เขียงคาน จ.เลย

ผวจ.เลย กล่าวว่า ตามที่จังหวัดเลย ได้กำหนดแนวทางในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดภายใต้ยุทธการ “พิทักษ์ไทเลย 66” ซึ่งประกอบด้วย 8 มาตรการ และได้แถลงข่าวสรุปผลการปฏิบัติงานในรอบ 6 เดือนแรก อีกทั้งได้กำหนดแนวทางการดำเนินงานในช่วง6 เดือนหลังไปเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2566 แล้ว

และเมื่อกลางดึกวันที่ 1 พ.ค. 66 พ.ต.ท.ศุภกร โสกันทัด สว.สส.สภ.เชียงคาน จ.เลย พร้อมชุดสืบสวน บูรณาการกำลังร่วมกับ สน.เรือเชียงคาน ตชด.246 ทหารพราน 21 ตม.ภ.จว.เลย กอ.รมน. ตร.ท่องเที่ยว วางแผนจับกุมขบวนการค้ายาไอซ์ข้ามชาติ จากประเทศเพื่อนบ้านที่ริมแม่น้ำเหือง ถนนสายเชียงคาน-ท่าลี่ บ้านนาจาน หมู่ 1 ต.ปากตม อ.เชียงคาน จึงนำกำลังออกซุ่มตรวจ กระทั่งพบรถเก๋งโตโยต้า วิช สีดำ ทะเบียน 4 ขง 4243 กรุงเทพมหานคร ลักษณะตรงตามที่ได้รับแจ้ง จึงแสดงตัวขอตรวจค้น พบ นายอภิรักษ์ คำหงษา อายุ 29 ปี คนขับ และนางสาวพิมพ์ละพัฒน์ มาตรแสน อายุ 24 ปี ทั้งสองอยู่ 29 ต.นาจารย์ อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ จากนั้นนำตัวมาตรวจค้นที่ท้ายรถ พบยาไอซ์ น้ำหนักประมาณ 290 กิโลกรัม บรรจุอยู่ในกระสอบสีขาว จึงได้จับกุมตัว นำตัวพร้อมของกลางมาสอบสวน ที่ สภ.เชียงคาน
พ.ต.ท.ศุภกร โสกันทัด สว.สส.สภ.เชียงคาน จ.เลย เปิดเผยอีกว่า กลุ่มนี้มีประวัติโชคโชนเป็นขบวนการกลุ่มกาฬสินธุ์ กลุ่มใหญ่ ทำการค้ายากัลป์กลุ่มค้ายากลุ่มใหญ่ใน สปป.ลาว มีเป้าหมายลำเลียงทางเส้นทาง เชียงคาน เลย ด่านซ้าย หล่มสัก เพชรบูรณ์ ต่อไปเส้นทางหลวงหมายเลข 21 ลงภาคกลาง ศูนย์กลางกระจายยาที่จ.อยุธยา โดยมูลค่ายาเสพติดที่จับได้ ยาไอซ์ 290 ก.ก. มีราคาในท้องตลาด ก.ก.ละ 2 แสนบาท รวมมูลค่า 58 ล้านบาท

ดำรงค์ รักษ์จรรยาวงศ์ / จ.เลย

กาฬสินธุ์ (ชมคลิป) ปปช.สอบซ้ำ3ตำรวจสืบเมืองกาฬสินธุ์คดีรีดเงินยาบ้า

ผอ.ปปช.กาฬสินธุ์เข้าติดตามคดีตำรวจชุดสืบสวนสภ.เมืองกาฬสินธุ์เรียกรับเงินจากญาติผู้ต้องหาคดียาเสพติด 5 แสนบาท เนื่องจากเป็นคดีที่เกี่ยวกับการทุจริตต่อหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ ระบุ หากผิดจริงมีโทษหนักสูงสุดจำคุกถึง 20 ปี

ความคืบหน้ากรณีตำรวจชุดสืบสวนสภ.เมืองกาฬสินธุ์ 3 นาย ถูกตำรวจชุดสืบสวนตำรวจภูธร จ.กาฬสินธุ์จับกุมคาห้องสืบสวนภายในโรงพัก สภ.เมืองกาฬสินธุ์ หลังร่วมกันเรียกรับเงินจากญาติผู้ต้องหาคดียาเสพติด 5 แสนบาท แลกกับการไม่ดำเนินคดี ซึ่งหลังเกิดเหตุ พล.ต.ต.สุวรรณ์ เชี่ยวนาวินธวัช ผบก.ภ.จว.กาฬสินธุ์ สั่งการให้ดำเนินการขั้นเด็ดขาด และเบื้องต้นมีคำสั่งให้ออกราชการไว้ก่อน 3 ราย ส่วนอีก 8 นายที่ถูกซัดทอดอยู่ระหว่างการชี้ตัวยืนยันจากผู้เสียหาย

ล่าสุดเมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 27 มีนาคม 2566 ที่สำนักงานตำรวจภูธร จ.กาฬสินธุ์ ว่าที่ร้อยตรีสมบูรณ์ หัสดม ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช.ประจำ จ.กาฬสินธุ์ พร้อมเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.กาฬสินธุ์เข้าติดตามคืบหน้าของคดีดังกล่าว โดยมี พ.ต.อ.สมพงศ์ มั่นหมาย รองผบก.ภ.จว.กาฬสินธุ์รายงานความคืบหน้า ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการตั้งกรรมการสอบวินัยตำรวจทั้ง 3 นาย พร้อมมีคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ส่วนเรื่องคดีอาญาได้สอบปากคำแล้ว และอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานส่งให้กับ ป.ป.ช.ต่อไป

โดยว่าที่ร้อยตรีสมบูรณ์ หัสดม ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช.ประจำ จ.กาฬสินธุ์ ระบุว่า วันนี้ได้เข้ามาติดตามความคืบหน้าคดีกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนสภ.เมืองกาฬสินธุ์มีการเรียกรับเงินเกี่ยวกับคดียาเสพติด เนื่องจากเรื่องดังกล่าวเป็นคดีที่เกี่ยวกับการทุจริตต่อหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ สังคมและประชาชนให้ความสนใจ ซึ่งจากการสอบถามทราบว่า ขณะนี้ได้มีการสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นแล้ว ปรากฏว่ามีผู้ถูกกล่าวหาเป็นตำรวจชุดสืบสวน สภ.เมืองกาฬสินธุ์ 3 ราย ประกอบด้วย ยศ ด.ต. อายุ 27 ปี, ยศ ส.ต.อ. อายุ 30 ปี และ ยศ ส.ต.อ. อายุ 27 ปี 3 ราย และอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน และจะนำสำนวนส่งสำนักงาน ป.ป.ช.กาฬสินธุ์ จากนั้นทาง ป.ป.ช.กาฬสินธุ์จะส่งเรื่องไปยัง ป.ป.ช.ส่วนกลาง เพื่อพิจารณาตั้งกรรมการขึ้นมาสอบสวนเรื่องดังกล่าว ซึ่งหากผลการสอบพบว่ามีการกระทำผิดจริงก็จะถูกลงโทษตามกฎหมายต่อไป ทั้งนี้ความผิดเกี่ยวกับการทุจริตต่อหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐนั้นมีโทษหนักสุดถึงขั้นจำคุก 20 ปี

อย่างไรก็ตามผู้สื่อข่าวได้พยายามเข้าสอบถามความคืบหน้าของคดีกับ พ.ต.อ.อิทธเดช สุนทร ผกก.สภ.เมืองกาฬสินธุ์ ในฐานะผู้บังคับบัญชาโดยตรงและหัวหน้าสถานี โดย พ.ต.อ.อิทธเดช ระบุว่า เรื่องดังกล่าวตนไม่ขอพูด และให้ไปสอบถามกับทางผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.กาฬสินธุ์

ทั้งนี้มีรายงานว่า พ.ต.อ.ชัยพร พงษ์ศักดิ์ รองผบก.ภ.จว.กาฬสินธุ์ ซึ่งดูแลเรื่องการสอบสวน ได้ประชุมร่วมกับ พ.ต.ท.สุเทพ ภูกัณหา รองผกก.(สอบสวน) สภ.เมืองกาฬสินธุ์ ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวน พร้อมด้วยพนักงานสอบสวนสภ.เมืองกาฬสินธุ์เจ้าของคดีประชุม เพื่อวางแนวทางการสอบสวนในคดีดังกล่าว แต่ไม่อนุญาตให้ผู้สื่อข่าวเข้าไปในห้องประชุม

โดยพ.ต.ท.สุเทพ ภูกัณหา รองผกก.(สอบสวน) สภ.เมืองกาฬสินธุ์ ระบุว่า สำหรับความคืบหน้าของคดีหลังเกิดเหตุ พนักงานสอบสวนได้สอบปากตำรวจชุดสืบสวนทั้ง 3 นายแล้ว ซึ่งทั้ง 3 ให้การปฏิเสธ ไม่ให้การในชั้นสอบสวน และขอให้การในชั้นศาล และได้ตำแหน่งประกันตัวออกไป ซึ่งเป็นสิทธิของผู้ต้องหา แต่เบื้องต้นพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหา เป็นเจ้าพนักงานร่วมกัน เรียก รับ หรือยอมรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด สำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่, เป็นเจ้าพนักงานหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน คาดว่าจะสามารถสรุปสำนวนส่งให้กับอัยการและป.ป.ช.ได้ภายในสัปดาห์นี้

พ.ต.ท.สุเทพ ระบุอีกว่า ในส่วนตำรวจชุดสืบสวนที่ถูกกล่าวหาและซัดทอดว่ามีส่วนร่วมในวันที่ถูกจับอีก 8 นายนั้น ขณะนี้ยังเป็นผู้ถูกกล่าวหา เบื้องต้นเป็นการสอบถามขยายผลในวันจับกุม จึงยังไม่ได้เรียกตัวมาสอบปากคำ และยังไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหากับใครเพิ่ม อีกทั้งต้องรอสอบปากคำผู้เสียหายและให้ผู้เสียหายมาชี้ภาพยืนยันว่ามีใครบ้างที่ส่วนร่วมจริงหรือไม่ ซึ่งขณะนี้กำลังรวบรวมพยานหลักฐาน และจะประสานผู้เสียหายมาสอบและชี้ภาพยืนยันในเร็วๆนี้ อย่างไรก็ตามในส่วนของกลางยาบ้า 2,000 เม็ด ที่มีการกล่าวอ้างว่าจับมานั้นเบื้องต้นเท่าที่ตรวจสอบยังไม่พบของกลางและไม่มีบันทึกจับกุม

ตำรวจขอนแก่น ระดมกำลังกวาดล้างอาวุธปืนและสิ่งผิดกฎหมาย ก่อนการเลือกตั้ง

ตำรวจจังหวัดขอนแก่น ระดมกำลังกวาดล้างอาวุธปืนและสิ่งผิดกฎหมาย โดยเฉพาะอาวุธปืนที่มีการครอบครองโดยผิดกฎหมายจำนวนมาก เพื่อป้องกัน การนำไปใช้ในช่วงการเลือกตั้ง

 13 มี.ค.66 13.00 น. นายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น พล.ต.ต.นพเก้า โสมนัส ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดขอนแก่น ร่วมแถลงข่าว “ระดมปิดล้อม จับกุม ยาเสพติด อาวุธปืน และหมายจับค้างเก่า” ตามนโยบายการแก้ไขปัญหา อาชญากรรมที่สร้างความเดือดร้อนต่อประชาชน และแก้ไขปัญหายาเสพติดทุกมิติอย่างเป็นระบบ

 ตามที่รัฐบาลได้ให้ความสำคัญต่อการแก้ไขปัญหายาเสพติด มีนโยบายให้กระทรวงมหาดไทย โดยฝ่ายปกครอง ร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตำรวจภูธรภาค 4 ทำการ Re x-ray ในพื้นที่ รับผิดชอบ ระดมกวาดล้างยาเสพติด อาวุธปืน และอาชญากรรมในพื้นที่รับผิดชอบ ทางจังหวัดขอนแก่น และตำรวจภูธรจังหวัดขอนแก่น จึงได้สนองนโยบายดังกล่าว

พร้อมกับปฏิบัติการระดมกวาดล้างอาชญากรรม ยาเสพติด อาวุธปืน และหมายจับในวันที่ 9 มี.ค.66 โดยสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้จำนวน 71 คน ความผิด พ.ร.บ.อาวุธปืนและคดียาเสพติดจำนวน 68 คดี 69 คน จับกุมบุคคลตามหมายจับ จำนวน 2 คน พร้อมยึดของกลาง เป็นอาวุธปืน 10 กระบอก ยาเสพติด เป็นยาบ้า 5,088 เม็ด 4.6 กรัม ตรวจยึดทรัพย์สินอื่น ๆ รวมมูลค่ากว่า 300,000 บาท และผู้เสพสมัครใจเข้ารับการบำบัด จำนวน 4 ราย

ทั้งนี้ จังหวัดขอนแก่น และตำรวจภูธรจังหวัดขอนแก่น ดำเนินการแก้ไขปัญหายาเสพติดในมิติต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการประชุมวางแผนหารือ การจัดทำบัญชีกลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้ค้ายาเสพติดเพื่อติดตามจับกุมและดำเนินการตามกฎหมาย รวมถึงนำผู้ติดยาเสพติดให้นำเข้าสู่ กระบวนการบำบัดรักษาและฟื้นฟู พร้อมทั้งย้ำให้เจ้าหน้าที่ทุกคนปฏิบัติหน้าที่อย่างจริงจัง โดยใช้ความระมัดระวัง และปฏิบัติหน้าที่อย่างสุภาพ อย่าให้ประชาชนเกิดความรู้สึก ที่ไม่ดีต่อภาครัฐ แต่ให้เกิดความรู้สึกมั่นคง ปลอดภัย ในการใช้ชีวิตต่อไป โดยเฉพาะใกล้ช่วงที่จะมีการเลือกตั้งใหญ่ ทำให้ทางตำรวจพร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งออกตรวจค้นตามเป้าหมายต่างๆ

ที่มา : https://www.esandailyonline.com