เปิดตัวขุนเดช- ศิลปินน้องไหม่หมายเลข 8 ค่ายนาคราชคู่ เอนเตอร์เทนเมนท์

จากกรณีเกิดกระแสไวรัลชั่วข้ามคืน หลังผู้ใช้ติ๊กต็อกรายหนึ่งได้แชร์คลิป หนุ่มจิตเวช “ขุนเดช” ดีดกีตาร์ร้องเพลง “อธิษฐานลารักหน้าไฟ” ที่แต่งขึ้นเอง แล้วนำมาขับร้องอย่างไพเราะ จนกลายเป็นไวรัลดังชั่วข้ามคืนถึง 3 ล้านวิว

มีคนเข้ามาติดตามและคอมเมนต์ พร้อมแชร์ในโลกโซเชียลอย่างแพร่หลาย จนกระทั้งได้มีค่ายเพลงนาคราชคู่ เอนเตอร์เทนเมนท์ มาติดต่อเพื่อซื้อเพลง พร้อมให้โอกาสปั้นเป็นนักร้องในสังกัด เบื้องต้นกำหนดระยะเวลา 3 ปี ซื้อลิขสิทธิ์เพลงก่อน 3 เพลงคือ เพลงอธิษฐานลารักหน้าไฟ เพลงนารีรักไฟนรก และเพลงรักมั่นไทย-ลาว ภายใต้ชื่อ “ขุนเดช มหาไชย” 

ซึ่งถือว่าเป็นการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ และเป็นมิติใหม่ในวงการเพลงเมืองไทย เพราะ “ขุนเดช” ขึ้นเป็นศิลปินเพลงน้องใหม่ หมายเลข 8 ของค่ายนาคราชคู่ และเปิดตัวในวงการเพลง ที่มีอดีตที่ไม่เหมือนใคร และถือเป็นนักร้องพิเศษที่เพิ่งก้าวข้ามจากอาการป่วยทางจิตมาเป็นศิลปิน ทั้งเขียนเพลง ร้องเพลง และเล่นกีตาร์ ที่มากด้วยฝีมือ

เปิดประวัติ “ขุนเดช มหาไชย” ตามภูมิลำเนาบ้านเกิด มีชื่อจริงว่า นายเดช ธรรมประชา เป็นชาวบ้านบ้านโคกกว้าง หมู่ 10 ต.มหาไชย อ.สมเด็จ จ.กาฬสินธุ์ นายเดช เปิดเผยว่า เรียนจบ ม.6 เคยแต่งงานกับคนรัก มีครอบครัวที่อบอุ่น และมีลูกสาว 1 คน แต่ต่อมา ตัวเองหลงผิดติดยาเสพติด ชีวิตเปลี่ยนทิศ ทำครอบครัวแตกหัก แต่โชคดีที่สังคมยังให้โอกาส ฝ่ายปกครองและผู้นำชุมชนหมั่นมาให้กำลังใจตามแนวทางการบำบัดยาเสพติด ด้วยการฟื้นฟูจากการมีส่วนร่วมของชุมชน  นายวิชาญ อิทธิฤกษ์มงคล นายอำเภอสมเด็จ จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า นายเดชถือเป็นแบบอย่างที่ดีของคนที่เคยเป็นผู้ป่วยจิตเวชกลุ่มสีแดง ปัจจุบันผ่านการประเมิน ไม่ได้เป็นผู้ป่วยจิตเวชแล้ว ภาวะทางอารมณ์และพฤติกรรมของนายเดช พบว่าดีขึ้นตามลำดับ

โดยนิสัยส่วนตัวค่อนข้างเป็นคนขี้อาย ชอบหาที่สงบๆ นั่งคิดเพลง เขียนเพลง เล่นกีตาร์อยู่คนเดียว นายเดช บอกว่า วันนี้พยายามตัวเองเป็นคนดี มีกีตาร์และเสียงเพลงคอยปลอบประโลมใจ ทำให้เขาปรับเปลี่ยนชีวิตให้ดีขึ้น

ทางผู้จัดการส่วนตัว คุณแจ็คพอร์ต และครูเพลง ตี๋แดง เลือดอิสานเจ้าของบทเพลง ผู้ชายสีเทาที่กำลังโด่งดัง ได้พาขุนเดช ไปออกอากาศที่สถานี วิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย สวท จ.กาฬสินธุ์ เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2567 โดยมี ผอ.สวท.คุณ สุรสันติ หาญนาแซง มาไห้การตอนรับ พร้อมกับ น้องอ้อแอ้ อรอิษรา นาสินสร้อย ให้สัมภาษณ์ในรายการ เหลาข่าว เล่าเรื่อง เมืองกาฬสินธุ์ สวท.กาฬสินธุ์ FM 93 MHz สามารถรับชมย้อนหลังได้ที่ [Live]รายการ เหลาข่าว เล่าเรื่อง เมืองกาฬสินธุ์ (special) ขุนเดช นาคราชคู่ 24เม.ย.67

14 ธ.ค.ห้ามพลาด ฝนดาวตก “เจมินิดส์”ดูได้ตั้งแต่ 2 ทุ่ม

อาจเป็นรูปภาพของ ข้อความ

วันที่ 14 ธันวาคม 2566 มีรายงานว่า เพจเฟซบุ๊ก NARIT สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า คืนนี้ 14 – รุ่งเช้า 15 ธ.ค. ฝนดาวตกเจมินิดส์ อัตราตกสูงสุด 120-150 ดวง/ชั่วโมง หลังเที่ยงคืนแนะนำนอนชมในที่มืด มองเห็นทั่วฟ้า ฝนดาวตกเจมินิดส์ หรือฝนดาวตกกลุ่มดาวคนคู่ จะเกิดในช่วงระหว่างวันที่ 4-20 ธันวาคมของทุกปี มีศูนย์กลางการกระจายบริเวณกลุ่มดาวคนคู่ ปีนี้นักดาราศาสตร์คาดการณ์ว่าจะมีอัตราการตกสูงสุด ในช่วงหลังเที่ยงคืน วันที่ 14 ถึงรุ่งเช้า 15 ธันวาคม 2566เวลา 20.00 น. เป็นต้นไป ทางทิศตะวันออก (ช่วงเวลาที่กลุ่มดาวคนคู่ขึ้นจากขอบฟ้า)

ที่มา สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดบึงกาฬ

อุดรธานี – แรงงานไทย ‘วีดีโอคอล’ เล่านาทีสู้กับกองกำลังฮามาสด้วยมือเปล่า รอดจากถูกปาดคอแต่เจ็บสาหัส

จากกรณีเช้ามืดวันที่ 7 ตุลาคม กองกำลังติดอาวุธฮามาส บุกโจมตีอิสราเอล ทั้งบนอากาศและภาคพื้นดิน มีกองกำลับติดอาวุธบุกเข้ามาสังหารในฉวนกาซา ทำให้มีพลเมืองผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตนับพันราย รวมทั้งแรงงานไทยที่ไปขุดทองในอิสราเอล ทั้งได้รับบาดเจ็บ เสียชีวิต ถูกจับเป็นตัวประกัน และหายสาบสูญ ซึ่งเป็นแรงงานชาวอุดรธานีเสียชีวิต 7 ราย แต่มีข่าวดีว่าทหารอิสราเอลเข้ายึดพื้นที่คืน ช่วยผู้บาดเจ็บและตัวประกัน ซึ่งจะและแรงงานลอตแรกบินกลับถึงประเทศไทยแล้ว 15 คน

เมื่อเวลา 12.00 น.วันที่ 12 ตุลาคม ที่บ้านเลขที่ 169 หมู่ 2 บ้านสระคุ ต.หนองหัวคู อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี ซึ่งเป็นบ้านของนายวิทวัส กุลวงศ์ หรือแจ็ค อายุ 34 ปี แรงงานไทยในอิสราเอล ซึ่งรอดชีวิตจากการถูกปาดคอ แต่ได้รับบาดเจ็บสาหัส และครอบครัวติดต่อได้แล้ว ซึ่งได้พบกับ น.ส.วาสนา พิมพ์สุวรรณ อายุ 27 ปี และด.ญ.กัลยรัตน์ กุลวงศ์ อายุ 5 ขวบ ภรรยาและลูกสาวนายวิทวัส นั่งอยู่หน้าบ้าน โดยมีญาติและเพื่อนบ้านมาถามไถ่เรื่องราวและแสดงความยินดี โดยมีนายวิทวัส หรือแจ็ค วีดีโอคอลมาพูดคุย

นายวิทวัส ได้เล่าให้ฟังว่า ขณะกำลังเดินอยู่ในฟาร์ม เพื่อตรวจดูว่ามีไก่งวงตายหรือไม่ ก็มีการยิงเข้ามา และมีกองกำลังติดอาวุธเข้ามาในฟาร์ม จึงเข้าไปหลบซ่อนตัว 2-3 ชม. เมื่อกองกำลังออกไปแล้ว จึงได้ออกมาจากที่ซ่อน เข้ามาในฟาร์ม ได้มีกองกำลังเข้ามาอีก และมาพบตน ซึ่งกองกำลังได้ใช้มีดพยายามฆ่าปาดคอตน แต่ตนได้ยึดสู้กันประมาณ 1 ชม. ตนถูกแทงคอ หลัง และหน้าผาก เลือดไหลออกมาก จนตนหมดสติ เขาคงคิดว่าตนตายแล้ว จึงเอาโทรศัพท์ตนไปด้วย ประมาณ 1 ชั่วโมงตนฟื้นขึ้นมา จึงเดินกลับไปที่แคมป์คนงาน เพื่อนคนงาน นายจ้างแจ้งทหารอิสราเอลนำตนส่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล 3 วัน ออกจาก รพ.จึงติดต่อกลับมาหาภรรยาและลูก ซึ่งถือว่าตนโชคดีที่รอดชีวิตไม่อยากอยู่แล้ว อยากจะกลับบ้านและไม่ขอกลับมาที่อิสราเอลอีก

ส่วน น.ส.วาสนา กล่าวว่า ได้แต่งงานอยู่กินกับนายวิทวัส มีลูกด้วยกัน 1 คน นายวิทวัส เดินทางไปทำงานเกษตร ที่ฉนวนกาซา ประเทศอิสราเอล สัญญา 5 ปี 3 เดือน ทำงานได้ 4 ปี ไม่กลับมาพัก ได้เงินเดือน 4-5 หมื่นบาท โดยยืมเงินจากนายทุนนอกระบบ 1 แสนบาท โดยจัดหางานเป็นคนส่งไปถูกต้องตามกฎหมาย โดย 2 ปีแรกทำงานในสวนมะเขือเทศ 2 ปีหลังทำงานในฟาร์มไก่งวง จะส่งเงินกลับมาให้ตนซื้อรถปิกอัพ 1 คัน และซื้ออุปกรณ์เตรียมสร้างบ้านไว้แล้ว

ก่อนเกิดเหตุเป็นวันเสาร์ที่ 7 ตุลาคม ซึ่งจะเป็นวันหยุดของสามี แต่สามีจะขับรถไถออกจากแคมป์ที่พัก ไปที่ฟาร์มไก่ เพื่อเก็บไก่ที่ตายออกมา ขณะเดินอยู่ในฟาร์มไก่ และไลฟ์สดในเฟซบุกให้ตนดูด้วย ต่อมาฝั่งปาเลสไตน์ก็มีการยิงข้ามมา ซึ่งสามีก็บอกว่ามีการยิงกันแล้ว แต่ครั้งนี้ยิงหนักมาก แถมมีกองกำลังติดอาวุธเข้ามาในฟาร์มด้วย ซึ่งสามีก็ไปหลบซ่อนตัว 2-3 ชม.และห้ามตนโทรไปหา เพราะเกรงว่ากลุ่มฮามาสจะได้ยิน ตนก็ไม่โทร แต่พอได้ดูคลิปยิงแรงงานไทยตายในแคมป์ ก็ยิ่งห่วงสามีมากขึ้น แต่ไม่สามารถติดต่อได้ ตนก็พยายามทักแชทกับเพื่อนร่วมงานสามี เย็นวันเดียวกันก็ทักแชทเพื่อนร่วมงานได้ เพื่อนบอกว่าสามีตนอยู่ในห้อง บาดเจ็บเล็กน้อย นายจ้างติดต่อทหารอิสราเอลมารับไปส่งโรงพยาบาลแล้ว

น.ส.วาสนา กล่าวต่อไปอีกว่า หลังทราบว่าสามีได้รับบาดเจ็บ รักษาตัวอยู่โรงพยาบาลแล้ว ตนก็รู้สึกดีใจ แต่ไม่สามารถติดต่อกับสามีได้ ก็ได้แชทสอบถามอาการกับเพื่อนคนงาน ส่วนตนและครอบครัวก็ไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกที่เพื่อให้สามีปลอดภัย สามีออกจากที่โรงพยาบาลวันที่ 11 ตุลาคม ลูกชายนายจ้างได้ให้ใช้โทรศัพท์วีดีโอคอลมาหาตน และได้พูดคุยกัน ก็รู้สึกดีใจ แต่พอเพื่อสามีส่งภาพตอนสามีโดนแทงได้รับบาดเจ็บมาให้ดู ตนถึงกับร้องไห้ มันน่ากลัวมาก สามีรอดชีวิตมาได้อย่างไร สามีกลับมาบ้านแล้ว ก็จะไม่ให้กลับไปอีก

มหาสารคาม-พนักงานบริษัทลาออกจากงานกลับบ้านเกิดเปิดร้านแบเกอร์รี่ญี่สไตล์ญี่ปุ่นและสไตล์ฝรั่งเศสร้างรายได้

พนักงานบริษัทลาออกจากงานกลับบ้านเกิดเปิดร้านแบเกอร์รี่ญี่สไตล์ญี่ปุ่นและสไตล์ฝรั่งเศสร้างรายได้ ในเทศกาลวันแม่นี้ทางร้านได้มีโปรโมชั่น รับเครื่องดื่ม Morning Dream ฟรี! เมื่อมากับคุณแม่

พิษโควิด 19พ่นพิษระบาด ทำให้การใช้ชีวิตประจำวันลำบากขึ้น ทุกคนต้องอยู่บ้านงานทุกอย่างมีการปรับเปลี่ยน การทำธุรกิจบางแห่งก็ไปไม่รอด หลายบริษัทต้องปิดตัวลง บางบริษัท ลดพนักงาน หรือลดเงินเดือน แต่ทำงานหนักอยู่ มีหลายคนที่ต้องลาออกกลับมาอยู่บ้านเกิด เช่นเดียวกับนางสาววริยา กระแจ่ม(น้องฮ้น) อายุ28ปี เจ้าของร้านคาเฟ่โนเวมเบอร์ เล่าว่า ตนเองจบนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคามมุ่งทำงานบริษัทเกี่ยวกับรีวิวอาหารแห่งหนึ่งถูกส่งตัวมายังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดขอนแก่น โดยมีหน้าที่ถ่ายโฆษณาอาหารตลอด3ปีโดยมีกล้องเป็นคู่หู มาตลอด ในปี2563 ทำให้บริษัทลดเงินเดือน บวกกับตนเองคิดอยากจะลาออกอยู่แล้ว เพื่อกลับมาอยู่บ้านเกิดที่จ.มหาสารคาม จะได้ดูแลพ่อ กับแม่ ตอนนั้นไม่ทราบว่าจะไปทำอาชีพอะไรในช่วงยุคโควิด19 ในระหว่างทำงานประจำ วันหยุดได้ลองไปลงเรียนทำเบเกอรี่ เสาร์-อาทิตย์กลับมาบ้าน หลังจากนั้นก็มาฝึกทำขนม ทำหลายๆรอบและทำแล้วทิ้งอยู่หลายรอบจนท้อแท้แต่ตนเองก็สู้โดยมีน้องชายลูกพี่ลูกน้อง ที่สนิทกันตั้งแต่เด็กๆ มาช่วยกันชิมและปรับสูตร ในช่วงแรกๆทำขนมให้เพื่อนๆพี่ชิม อยู่หลายๆรอบ จนคนชิมบอกว่าทำขายได้แล้วแต่ตนเองก็ไม่มั่นใจ ในที่สุดก็ตัดสินใจทำขนม โดยที่ตัวเองมีหน้าที่ทำคุกกี้นิ่มและน้องชายทำบราวนี่ มีแค่สองเมนูเท่านั้น โดยเปิดขายผ่านแค่ออนไลน์อย่างเดียว แต่ก็มีลูกค้าสั่งมีออดอร์เข้ามาเรื่อยๆ จนทำไม่ทัน หลังจากขายรอบแรกก็ปรับปรุงและรับฟังคอมเม้นลูกค้าอยู่เสมอ และหลังจากนั้นก็เปิดรับเพียงแค่ 2-3 เดือน / รอบ เพราะต่างคนต่างมีงานประจำอยู่แล้ว แต่ก็พัฒนาต่อเนื่อง ทั้งการบริการและคุณภาพอยู่เสมอ หลังจากช่วงแรกจะส่งขนมตามบ้านที่ลูกค้าสั่ง ต่อมาก็เปิดขายโดยให้ลูกค้ามารับที่บ้าน พอลูกค้ามากขึ้นไม่มีที่ให้ลูกค้ารอรับขนม ก็ติดว่าจะทำอย่างไรให้ลูกมารับขนมได้ โดยมีนั่งรอ ก็เลยตัดสินใจคุยกับคุณพ่อคุณแม่ ขอใช้ประตูเล็กที่หน้าบ้านซึ่งไม่ได้ใช้งานแล้ว ก็เลยทุบประตูสร้างเป็นห้องเล็กสีขาว เพื่อให้ลูกค้ามารอรับขนม ตกแต่งร้านแบบสไตล์เเคมป์ปิ้ง มีโต๊ะเก้าอี้ให้ลูกค้านั่งรอ เพื่อรับขนม และมีการเพิ่มเก้าอี้ขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเริ่มมีความสุขกับเบเกอรี่ก็ได้ไปลงเรียนทำขนมปังเพิ่ม เพราะตนเองชอบกินขนมปังเป็นชีวิตจิตใจ ใช้เวลาอยู่นานจนกลายมาเป็น Shokupan Homemade ขนมปังสุดนุ่มสไตล์ญี่ปุ่น ที่ใครที่มาแล้วต้องซื้อกลับไปทุกครั้ง เมื่อเริ่มมีหน้าร้าน ลูกค้าถามหาเครื่องดื่มในช่วงแรก เลยไปศึกษาการทำกาแฟ ก็เริ่มมีเมนูเครื่องดื่มกาแฟสดและเริ่มขนมขนมอย่างอื่นเพิ่ม และน้ำอย่างอื่นเพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆโดยใช้พื้นที่ข้างบ้าน ให้ลูกค้าได้นั่ง

ปัจจุบันได้ เพิ่มพื้นที่เป็นห้องกระจกติดแอร์ และมีสวนหย่อมเล็กๆหรือเรียนว่าสวนหลังร้าน ล้อมรอบด้วยต้นกระบองเพชร ที่นั่งชิวๆ กางร่มสีขาว มีมุมถ่ายรูหลากหลาย ส่วนพนักงานในร้าน เป็นพนักงานพาร์ทไทม์ซึ่งเป็นเพื่อนๆที่ใช้เวลาว่างจากงานประจำ เวียนกันมาช่วย และเป็นนิสิต ใช้เวลาว่าง เพื่อสร้างรายได้เสริมส่วนขนมที่ขึ้นชื่อของร้าน Premium Shokupan Homemade ที่ทางร้านใช้แป้งนำเข้าจากญี่ปุ่นสองชนิด เพื่อให้ได้สัมผัสหนึบและนุ่มในคำเดียว นวดแป้งเข้ากับเนยฝรั่งเศส Elle & Vire และมีเนณูหลากลหาย เช่น บราวนี่ ชิฟฟ่อน เค้กส้ม ปังกรอบ แยมโฮมเมด ครัวซองต์

อีกหนึ่งเมนูขายดี Garlic Cream Cheese ขนมปังกระเทียมชีส หอมฟุ้งไปทั่วครัว ร้านเราใช้โชคุปังมาบีบครีมชีสหอมมัน ตัดกับกระเทียมกับออริกาโน Soft Chocolate Cookies กรอบนอกเบาๆ เนื้อนุ่ม หอมวานิลาแท้ ลาวาช็อกแท้เยิ้ม ๆ และครัวซองต์ที่ให้พี่ชายกับน้องชายเป็นคนดูแล ไม่ว่าจะเมนูไหนๆ เราเลือกใช้วัตถุดิบเกรดพรีเมียมทั้งหมด ในเทศกาลวันแม่นี้ทางร้านได้มีโปรโมชั่น รับเครื่องดื่ม Morning Dream ฟรี! เมื่อมากับคุณแม่

ร้านตั้งอยู่เลขที่ 49/4 ถนนจุฑางกูร อ.เมือง จ.มหาสารคามร้านเปิด10.00o..-18.00 น. และในช่วงเช้า 08.00น.เปิดและขายผ่านดลิเวอรี่ พร้อมจัดส่งพัสดุทั่วประเทศ

อุดรธานี ไรเดอร์หนุ่มเก็บเงินหมื่นกลางถนนแจ้งตำรวจหาเจ้าของ

ชื่นชมและนับถือใจหนุ่มใหญ่ไรเดอร์เมืองอุดรเก็บเงินหมื่นหล่นกลางถนนในซอย ห่วงเจ้าของคงตามหาวุ่นและอยากได้คืน นำส่งตร.ตามหาให้ส่งคืนเจ้าของ

มื่อเวลา10.00น.วันที่12 พ.ค.66 ที่สภ.เมืองอุดรธานี นายรัตนะ อุ่นจิต อายุ 51 ปี ชาว ต.หมากแข้ง อ.เมือง จ.อุดรธานี และเป็นไรเดอร์ของไลน์แมน หอบกระเป๋าแบบถือของผู้หญิงเดินทางเข้าแจ้งความกับ ร.ต.ท.กิตติภูมิ อรรควิทยานกูล รองสว.(สอบสวน) สภ.เมืองอุดรธานี พร้อมกับแจ้งว่า ขณะที่ตนเองไปส่งออเดอร์ลูกค้าในซอยประชาสันติเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขากลับจะไปรับออเดอร์อีกแห่ง

ปรากฏว่าขณะที่ขับรถจยย.อยู่ในซอย เห็นมีกระเป๋าถือแบบผู้หญิงสีส้ม-ขาวหล่นอยู่กลางถนน เมื่อหยิบกระเป๋าขึ้นมาเปิดออกดูมีเงินอยู่ในกระเป๋ามากพอสมควร จึงตัดสินใจนำมาส่งตร.เพื่อให้ประกาศหาเจ้าของก่อน เมื่อตร.ตรวจสอบพบเป็นธนบัตรใบละ 500 และ 100 บาทรวมเป็นเงิน 12,800 บาท และมีเอกสารสมุดธนาคารอีก 5 เล่มและบัตร เอทีเอ็ม คาดว่าเจ้าของจะนำเงินไปฝากธนาคาร อาจจะเป็นหจก.หรือสมาคมฯ อะไรสักอย่างแต่ทำหล่นก่อน หลังตร.ตรวจสอบหลักฐานและนับเงินเสร็จ ตร.ได้นำไปลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน เพื่อให้เจ้าของเงินมาติดต่อมารับต่อไป

นายรัตนะ เปิดเผยว่า ตนเองเดินทางไปส่งออเดอร์ให้ลูกค้าในซอยประชาสันติ 13 ขณะที่กำลัง ตีรถเปล่ากลับเพื่อจะไปรับออเดอร์ที่บียอนข้างวิทยาลัยอาชีวะฯ ปรากฎว่า เจอกระเป๋าหล่นกลางถนน ตอนแรกไม่รู้เป็นกระเป๋าอะไร ก็เลยเปิดดูเห็นเงินในกระเป๋าและเอกสารหลายอย่าง ก็ตกใจอยู่ ตอนนั้นคิดว่า สงสัยเจ้าของคงทำหล่น จึงรีบออกมาไปรับออเดอร์ส่งเรียบร้อยแล้ว ก็เลยเอามาให้ตร.ตามหาเจ้าของ เงินจำนวนนี้เยอะพอสมควร แต่ผมก็ไม่คิดอยากเอาเป็นของตัวเอง คิดถึงหัวอกเขาหัวอกเรา เงินหายใครๆ ก็คงอยากได้คืน ตอนนี้คิดว่าเจ้าของเงินคงจะใจหายแล้วเพราะเงินหาย ผมขับแกร๊ปมาแล้ว 2 ปี เพิ่งเก็บเงินหมื่นได้ และไม่คิดจะเอาเป็นของเจ้าของเลย นายรัตนะกล่าวตอนท้ายด้วยความมั่นใจอยากให้เจ้าของได้เงินคืน

ที่มา https://www.esandailyonline.com/

อุดรธานี – พี่สาวคนโต ตามทวงสมบัติชิ้นสุดท้าย ‘เสี่ยปาน 30 ล้าน’

น้องมดพร้อมป้าติ๋วพี่สาวคนโตเสี่ยปาน 30 ล้านบาท ทวงที่ดินร้านก๋วยเตี๋ยวสมบัติที่เหลือชิ้นสุดท้าย หลังป้าเก้าผจก.มรดกยักยอกเงินตามพินัยกรรม เจอสามีป้าเก้าเถียงหัวชนฝาไม่ให้ รอขายบ้านให้ก่อนแล้วจะให้เงิน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีเรื่องวุ่น ๆ หลังจากเสี่ยปาน 30 ล้านเสียชีวิตด้วยโรคร้ายเมื่อวันที่ 13 พ.ค.ปีที่แล้ว ทิ้งมรดกไว้มากกมาย แต่ผจก.มรดก ซึ่งเป็นพี่สาวเสี่ยปาน กลับยักยอกเงินที่เสี่ยปานเขียนพินัยกรรมเอาไว้ ไม่ยอมยกให้ลูกชายเสี่ยปานจำนวน 3 ล้าน จนน.ส.เสาวณี อดีตภรรยาต้องยื่นเรื่องต่อศาลให้ดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและอาญา ต่อน.ส.สุธีรา แก้วสวนจิก ซึ่งเป็น ผจก.มรดก และทางศาลจ.อุดรธานี ได้ออกหมายจับไปแล้วนั้น พร้อมกันนี้ อดีตภรรยายังได้ตั้งค่าหัวให้กับคนที่แจ้งเบาะแสของผจก.มรดกเสี่ยปาน 30 ล้าน มีรางวัลให้ 20,000 บาท

น้องมด กล่าวทั้งน้ำตาว่า หนูไม่เชื่อลุงกับป้าอีกแล้ว จะยื้อเวลาไปทำไม อ้างจะขายที่ดินตรงนี้แล้วถึงจะเอาเงินให้ มันนานไป รอถึง 5 เดือน แล้วไม่มีอะไรมารับประกันว่าจะได้ เพราะเงินตามพินัยกรรมก็ไม่ได้แล้ว ถ้ายกที่ดินและร้านก๋วยเตี๋ยวให้น้องเกาลัดก็จบกัน หนูฟังฝ่ายลุงกับป้ามาตลอด ให้หนูรอหนูก็รอ อ้างว่าหนูไม่มาเอา ทั้งๆ ที่หนูติดต่อมาตลอด หนูไม่เชื่อใจอีกแล้ว ที่ผ่านมาไม่มีความหวังให้หนูและลูกชายเสี่ยปานเลย เสียใจมาก น้องมดพูดไปน้ำตาไหลไป ส่วนน้องเกาลัด ลูกชายคนเดียวของเสี่ยปาน บอกว่า ผมมากับแม่วันนี้ผมก็อยากได้กับที่พ่อจะให้ผม แต่ผมไม่ได้ อยากจะฝากถึงลุงพจน์และป้าเก้า ขอให้ผมได้บ้างเถอะ น้องเกาลัดกล่าวหน้าเศร้าอย่างไร้เดียงสา

นายเรืองเดช มั่งคั่งดี อายุ 70 ปี เจ้าของที่คนเก่า เปิดเผยว่า ยืนยันว่าที่ตรงนี้ขายให้เสี่ยปานจริงเมื่อปี 59 มันเป็นที่สาธารณะประโยชน์ไม่มีใบอะไร เป็นแค่เสี่ยปาน จ่ายเงินที่ซื้อประมาณ 1,700,000 บาท ก็มีใบเสร็จให้เท่านั้น เรื่องนี้จริงๆ ทางลุงกับป้าของอดีตเมียเสี่ยปาน ควรยกที่ดินตรงนี้ให้ลูกเมียเขาซะ เพราะเงินตามพินัยกรรมก็ไม่ให้เขาแล้ว ลูกสืบสันดานก็ควรจะได้บ้าง

ป้าติ๋ว พี่สาวคนโตเสี่ยปาน เปิดเผยว่า ด้วยความสงสารหลานและน้องสะใภ้ที่ไม่ได้อะไรเลยกับเสี่ยปาน 30 ล้าน วันนี้จึงมาพูดคุยกับสามีนางเก้าก่อน แต่ดูแล้วคุยไม่รู้เรื่อง เขาไม่ยอมยกที่ดินที่เหลือชิ้นสุดท้ายตรงนี้ให้ ขนาดเงินตามพินัยกรรม 3 ล้านก็ไม่ได้ เงินมรดกเสี่ยปาน เก้าเอาไปใช้หมดแล้ว คาดเอาไปเล่นพนันจนหมดตัว เราจึงหาช่องทางก่อนที่ตนเองจะกลับไปเยอรมัน เมื่อวานไปพูดคุยกับทางสนง.ที่ดินแล้ว พอมีช่องทางน้องเกาลัดควรได้ที่ตรงนี้ โดยจะทำหนังสือรับรองและมีพยานว่า เจ้าของเดิมได้ขายให้เสี่ยปานจริง มีอบต.และชาวบ้านในพื้นที่ว่ามีการซื้อขายจริง น้องเกาลัดก็มีสิทธิในที่ดินตรงนี้ เพราะเป็นผู้สืบสันดานของเสี่ยปานโดยตรง ตนเองยังติดใจสงสัยการเสียชีวิตของน้องชาย 2 คนคือนายเบิ้มและเสี่ยปานโดยเฉพาะนายเบิ้มน้องชายอีกคนจู่ๆ กินน้ำเปล่าจากนั้นล้มลงเสียชีวิตทันที ยิ่งเห็นข่าววางยาของแอมไซยาไนด์ คนแข็งแรงมาตลอด จู่ๆ มาตายได้ไง และเสี่ยปานมาป่วยมะเร็งหลังถูกหวย จะมีการวางยาด้วยหรือไม่จนเสียชีวิต อันนี้ก็ติดใจอยู่

ตั้งแต่กลับมาเมืองไทยเสี่ยปานเข้าฝันหลายครั้ง เห็นเดินเข็นรถเข็นข้างถนน ไม่ใส่เสื้อ หน้าตาเศร้า เดินรอบหมู่บ้าน และมีญาติฝันเห็นเสี่ยปานหอบเสื้อผ้าจากบ้านหลังใหญ่ๆ ของเขามาอยู่บ้านหลังเก่าที่ตนเองยกให้เขา เหมือนวิญญาณเสี่ยปานยังห่วงอยากให้พี่สาวช่วยและอยากให้ลูกชายเขาได้ในมรดกด้วย กลับมาครั้งนี้ตนเองก็มาทำเรื่องโอนกรรมสิทธิ์บ้านหลังเก่าที่เคยยกให้เสี่ยปานให้เสร็จเรียบร้อย แล้วจะขายทำบุญให้เสี่ยปาน เพราะบ้านหลังนี้มีคนตายแล้ว 6 ศพ จะเดินเรื่องขอให้น้องเกาลัดและน้องสะใภ้ได้ที่ดินผืนนี้เพราะน่าจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาควรจะได้ ส่วนเงินตามพินัยกรรมคงไม่ได้แล้ว ถ้าน้องสะใภ้ได้ตรงนี้แล้วพอ ก็อยากให้มันจบๆ ไม่อยากให้พี่น้องกันทะเลาะกัน ป้าติ๋วพี่สาวคนโตเสี่ยปาน 30 ล้านกล่าวตอนท้าย

ทางด้านนายภาณุมาศ จิตรวศินกุล หรือ “เฮียเปี๊ยกช่วยด้วย” เปิดเผยว่า ในเรื่องของมรดกเสี่ยปาน 30 ล้าน ที่ผจก.มรดกไม่ยอมทำตามพินัยกรรม และมีพฤติกรรมที่ส่อให้เห็นทุจริตกับมรดก และไม่ทำตามวัตถุประสงค์ตามพินัยกรรม ตอนนี้ชัดเจนแล้วเพราะเขาหลบหนี ศาลฯ ท่านออกหมายจับแล้ว ทางอดีตภรรยาเสี่ยปานสามารถให้ทนายร้องต่อศาลให้เพิกถอนผจก.มรดกได้ และทางศาลฯ ท่านก็จะอาจสืบหาญาติพี่น้องคนใหม่เป็นผจก.มรดกคนใหม่แทน ดูแล้ว ลูกชายเสี่ยปานก็มีสิทธิ์ได้ทรัพย็สินทั้งหมด ส่วนที่ดินตรงนี้ อดีตภรรยาเสี่ยปานก็สามารถตั้งทนายร้องต่อศาลฯ เพื่อให้ศาลคุ้มครองชั่วคราวที่ดินตรงนี้จนกว่าจะพิสูจน์ทราบว่าที่ตรงนี้ว่าใครเป็นเจ้าของที่แท้จริง โดยตอนนี้ป้าเก้าและสามีอ้างว่า เสี่ยปานยกให้ก็เอาเอกสารมายืนยัน แต่ถ้าพิสูจน์แล้วที่ดินตรงนี้เป็นของเสี่ยปาน ลูกชายที่เป็นผู้สืบสันดานก็มีสิทธิในที่ดินตรงนี้ชัดเจน

รัฐธนินท์อุดร

อุดรธานี สาวสวยเก็บสร้อยทองในผับดัง เตรียมแจ้งคืนเจ้าของ

เปิดใจสาวสวยเจอทอง 1 บาท หล่นที่ห้องน้ำผับชื่อดัง เผยไม่คิดจะเก็บไว้เองเตรียมแจ้งความตำรวจเย็นวันนี้

วันที่ 21 เม.ย. 66 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้ใช้เฟสบุ๊กชื่อ Jiratthitikarn Srisutthor ได้โพสต์รูปทองทองคำรูปพรรณ พร้อมระบุข้อความว่า “เจอตกอยู่ห้องน้ำริทึ่มเมื่อคืนนี้ค่ะ #ตามหาเจ้าของตัวจริง ขอชี้แจงก่อนว่าเก็บมาเพราะตอนที่เจอไม่รู้จะทำยังไงด้วยความที่สติสัมปชัญญะไม่เต็มร้อย แล้วก็ไม่กล้าทิ้งไว้เพราะกลัวคนอื่นที่เจอจะเอาไปขาย ฝากแชร์ด้วยนะคะ คืนวันพุธที่19ค่ะ #อุดรธานี #ของหาย” ซึ่งหลังโพสต์ข้อความนี้ออกไปมีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก และยังไม่มีใครติดต่อมาขอรับทอง จากนั้นผู้สื่อข่าวจึงติดสอบสอบถามเพิ่มเติม

นางสาวจิรัฐิติกาล ศรีสุดธอ อายุ 21 ปี ชาวจังหวัดหนองคาย เล่าว่าเมื่อคืนวันพุธที่ 19 เมษายน 2566 ได้ไปเที่ยวกับพี่สาวท่านหนึ่งที่ผับใต้โรงแรมแห่งหนึ่งในตัวเมืองอุดรธานี ตอนนั้นผับใกล้ปิดและป่วยท้องเบาจึงไปเข้าห้องน้ำโดยไม่แน่ใจว่าเป็นห้องน้ำห้องที่ 1 หรือห้องที่ 2 พอทำธุระเสร็จก้มมองดูที่พื้นสังเกตเห็นสิ่งของบางอย่างเป็นเส้นตอนแรกคิดว่าเป็นเส้นด้ายจึงหยิบขึ้นมาดูและพบว่าเป็นทองคำ

เมื่อรู้ว่าเป็นทองคำก็คิดว่าจะทำอย่างไรดี จะเอาไปแจ้งผู้จัดการร้านหรือยังไงก็ตัดสินใจไม่ได้ เหตุที่ไม่เอาไปแจ้งประกาศในผับทันทีเพราะผับใกล้ปิดคนก็ทยอยกลับไปส่วนใหญ่เกรงว่าเจ้าของจะกลับ จึงเก็บไว้ก่อนกะว่าจะเอาไปแจ้งความในวันหน้า เช้าวันต่อมาจึงปรึกษาเพื่อนพี่น้อง จึงได้คำแนะนำว่าให้ไปติดเพจร้านทอง หรือแจ้งความ และโพสต์ประกาศหาในสื่อโซเซียลกลุ่มต่างๆ ผ่านไป 2 วันยังไม่มีใครติดต่อแสดงตัวเป็นเจ้าของทองเส้นดังกล่าว

เหตุผลที่ไม่คิดเก็บไว้เองเพราะ เราว่าหาเป็นของเราหายเราเองก็รู้สึกไม่ดีและมูลค่าทองก็หลายบาท สำหรับทองคำนั้นเอาไม่ตรวจสอบที่ร้านทองแล้วว่าเป็นของจริงน้ำหนักทอง 1 บาท 1 สลึง ราคาตอนนี้ประมาณ 35,000 บาท ฝากถึงเจ้าของทองตัวจริง หากรู้ว่าทำทองหายในคืนวันที่ 19 เมษายน ที่ผับก็ขอให้นำหลักฐานมาแสดงตัวได้ที่ สภ.เมืองอุดรธานี หรือทักเข้ามาที่เฟสบุ๊กส่วนตัว ชื่อ Jiratthitikarn Srisutthor โดยทองรูปพรรณมีลักษณะเด่นนั้นสร้อยมีตุ่มประดับ ส่วนจี้เป็นรูปรัชกาลที่ 5 ด้านหลังเป็นพระปรมาภิไธยย่อ จปร..,..รัฐธนินท์อุดร

เลย – จับสาวลาวลักลอบนำเนื้อเก้งข้ามขายฝั่งไทย

วันที่ 30 ม.ค.66 ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจาก พ.ต.ท.ณัฐวุฒิ ใจสุข ผบ.ร้อย ตชด.ที่ 246/ร้อย ฉก.ตชด.ที่ 246 ว่า เมื่อวันที่ 29 ม.ค. 66 เวลา 18.00 น.ได้รับแจ้งจากสายลับว่ามีขบวนการลักลอบนำซากสัตว์ป่าสงวนและคุ้มครองจากสปป.ลาวนำข้ามมาจำหน่ายยังฝั่งไทย โดยมีนางน้ำฝน เป็นผู้ติดต่อประสานหาผู้ซื้อจากฝั่งไทย โดยไม่เกรงกลัวต่อกฏหมาย ซึ่งเครือข่ายดังกล่าวเคยถูกชุด ชปข.ฯจับกุมมาก่อนแล้วจึงได้ประสาน ร้อยทพ.2102,ตม.จว.เลย ต่อมา จึงได้ใช้จนท.อำพรางติดต่อล่อซื้อเนื้อเก้งจากนางน้ำฝน จำนวน 5 กิโลกรัม กิโลกรัมละ 450 บาท นางน้ำฝนตลกทำการซื้อขายที่ตลาดสดบ้านเมี่ยง หมู่ 5 ต.หนองผือ อ.ท่าลี่ จ.เลย จนท.จึงได้แสดงตัวเข้าทำการจับกุม ผู้ต้องหาพร้อมของกลางเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

ดำรงค์ รักษ์จรรยาวงศ์ / จ.เลย

ไทยรอดจากพายุเพราะสิ่งนี้!

อาจเป็นรูปภาพของ แผนที่ และ ข้อความ

เปิดตำนานเทือกเขาอันนัม ถือว่าเป็นเทวดาอารักษ์ ผู้ช่วยให้คนไทยร้อดพ้นจากพายุและลมหนาวตลอดกาล ทุกครั้งที่พายุก่อตัวในทะเลจีนใต้ ในหน้ามรสุม พายุจะพัดเข้าหาฝั่งจากทะเลจีนใต้ผ่านฟิลิปปินส์ เข้าสู่เวียดนาม ลาว แล้วเข้าสู่ประเทศไทย แต่เมื่อใดที่พายุพัดขึ้นไปทางเหนือของเวียดนาม มักจะติดอยู่กับกำแพงธรรมชาติอันยิ่งใหญ่มหึมา นามว่า เทิอกเขาอันนัม (Annamese Mountains) อันเป็นเทือกเขาที่ทอดตัวยาว 1100 กม. กั้นระหว่างชายแดนเวียดนามและลาว และทอดจากเหนือลงใต้กั้นเวียดนามกับกัมพูชาทางตอนเหนือ มียอดสูงสุดชื่อภูเบี้ย (ลาว) สูง 2819 ม.รทก.ซึ่งสูงกว่ายอดดอยอิทนนท์ของไทยประมาณ 300 ม.ความสูงระดับนี้เองจึงเป็นปราการด่านสำคัญที่ช่วยชีวิตคนไทยหลายต่อหลายครั้ง ให้รอดพ้นจากพายุที่พัดมาจากทะเลจีนใต้และอ่าวตังเกี๋ย ให้หยุดอยู่ที่ขุนเขา แห่งนี้หรือบางครั้งสลายตัวไป เราจึงเห็นพายุสีแดง ๆ หยุดแช่อยู่ที่ขุนเขาแห่งนี้เป็นเวลานาน ๆ เรียกว่าถ้าไม่แรงจริงก็จะไม่ทะฝ่ากำแพงอันแข็งแกร่งนี้มาถึงประเทศไทยได้ แต่บางที่ก็เป็นข้อเสียอยู่บ้างที่สกัดกั้นให้ฝนมาไม่มาถึงภาคอีสานของไทยในยามที่ต้องการน้ำเพื่อการเกษตรยอดเขาส่วนที่สูงอยู่ในช่วงกลาง ๆของประเทศค่อนไปทางเหนือ ตรงกับประเทศไทยก็ตั้งแต่ชายแดนนครพนมขึ้นไปหนองคายและจ.เลย ยอดเขาอันนัมนอกจากจะกั้นไทยจากพายุแล้ว ในฤดูหนาว บางครั้งมวลอากาศเย็นที่แผ่ลงมาจากประเทศจีนก็ถูกสกัดกั้นให้หยุดอยู่ที่นั่นได้เช่นกัน ซึ่งน่าจะเป็นผลดีมกกว่าเพราะไม่อย่างนั้นเราจะไม่อะไรสกัดกั้นเมื่อยามมีภัยความสูงและกว้างใหญ่ของเทือกเขากันนัมนี้ยังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยธรรมชาติ ป่าเขาและสัตว์ป่า นับเป็นแหล่งธรรมชาติที่มีค่าของโลกแหล่งหนึ่ง คาระวะจากใจ ขอบคุณและรักเทือกเขาอันนัม จากใจคนไทยทั้งประเทศแอดมินอยากเล่า เช้า 29/9/65 หลังพายุโนรู สงบ

ที่มาข่าว : กู้ชีพกู้ภัย อุบลราชธานี

ขอนแก่น สะพาน ถนนหลายสายในอำเภอมัญจา ถูกตัดขาด น้ำเอ่อเข้าท่วมที่ว่าการอำเภอ

น้ำยังคงท่วมพื้นที่โดยรอบที่ว่าการอำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น รวมทั้งสะพานและถนนหลายสายถูกน้ำกัดเซาะขาด

 28 ก.ย. 65 นายพยุง เหล็กดี นายอำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น กล่าวว่า ขณะนี้ทางอำเภอได้รับผลกระทบจากฝนที่ตกหนัก ขณะนี้น้ำจากบึงกุดเค้าได้ล้นเข้าท่วมถนนสายมัญจาคีรี-พระยืน ช่วงหน้า ธกส.มัญจาคีรี น้ำท่วมสูงประมาณ 20-40 เซนติเมตร รถขนาดเล็กไม่สามารถผ่านได้ ส่วนที่บริเวณที่ว่าการอำเภอมัญจาคีรี น้ำได้ท่วมเข้าพื้นที่โดยรอบ รวมทั้งสถานที่ราชการ เช่นสำนักงานที่ดินอำเภอมัญจาคีรี ชาวบ้านต้องนั่งเรือเข้าติดต่อราชการ ขณะนี้มีพื้นที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมแล้ว 3 ตำบล 9 หมู่บ้าน จำนวน 733 ครัวเรือนได้รับความเดือดร้อน น้ำท่วมนาข้าวและพืชไร่รวมกว่า 10,000 ไร่ ถนนระหว่างหมู่บ้านเสรียหาย 3 เส้น และถนนเชื่อมต่อเส้นทางการเกษตรอีกกว่า 20 เส้น ได้รับความเสียหาย โดยเฉพาะถนนบ้านหนองบัวเย็น ที่ตำบลนาข่าได้รับความเสียหาย เทศบาลตำบลนาข่าต้องใช้ไม้มาทำเป็นราวจับ ให้ชาวบ้านได้เดินข้ามฝั่งก่อนที่จะรอ ปถ.เขต 6 นำถุงบิ๊กแบ็คมาซ่อมแซม เพราะถนนเส้นนี้เป็นถนนที่เชื่อมต่อกับ อบต.นางาม ซึ่งเป็นอีกเส้นทางหลัก

ส่วนแผนรับมือภายุโนรู ขณะนี้ได้เปิดศูนย์ประสานงานผู้ประสานภัยน้ำท่วม ที่หอประชุมอำเภอมัญจาคีรี โดยกิ่งกาชาดได้เปิดครัวปันสุข ทุกมื้อเที่ยงจะมีการปรุงอาหารแจกให้กับประชาชน พร้อมกับการเฝ้าระวังระดับในแม่น้ำที่จะล้นตลิ่งเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชน ซึ่งคาดว่าอำเภอมัญจาคีรี จะได้รับผลกระทบจากพายุโนรู พร้อมเตรียมแผนอพยพประชาชนไว้แล้ว.

ที่มา : https://www.esandailyonline.com/